ดีเอสไอจับพิรุธโอ๊ค-เอม ระดมถอนเงินจาก20แบงก์เข้า6บริษัทผิดปกติ

สรรพากรใช้สิทธิ์เจ้าหนี้ "โอ๊ค-เอม" ร้องดีเอสไอสอบเส้นทางเงิน หลัง"ลูกแม้ว" ระดมถอนจาก 20 แบงก์ เข้า 6 บริษัท หวั่นถูกโกงทำให้เสียหาย บัญชีกลางขอ 2 วันส่งหนังสือถึงธนาคารโอนเงินสด "ทักษิณ" เข้าเงินคงคลัง

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ถึงความคืบหน้ากระบวนการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 46,373.69 ล้านบาทว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ส่งหนังสือมาถึงกรมบัญชีกลางให้ทำหน้าที่บังคับคดีแล้ว โดย 1-2 วันจากนี้ กรมบัญชีกลางจะส่งหนังสือไปยังธนาคาร 6 แห่ง ที่มีบัญชีทั้ง 32 บัญชีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.)ได้อายัดไว้ เพื่อให้โอนเงินเข้าบัญชีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
 

นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า ขั้นตอนการโอนเงินในบัญชีต่างๆ จากธนาคารจะใช้เวลาไม่นาน เพราะโอนผ่านระบบชำระเงินบาท (บาทเน็ต) อยู่แล้ว

โดยจะโอนจากบัญชีที่ศาลมีคำสั่งไว้ทั้งหมดมายังบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1 ซึ่งเป็นบัญชีรายได้แผ่นดินที่ฝากไว้กับ ธปท.ได้ทันที โดยไม่ต้องมาฝากเป็นบัญชีต่างหากเพื่อพักไว้ก่อนสมทบเป็นเงินคงคลังตามที่เข้าใจครั้งแรก เนื่องจากกรณีนี้มีคำสั่งศาลระบุไว้ชัดเจนว่าเงินทั้งหมดให้ตกเป็นรายได้ของแผ่นดิน
 

นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า สำหรับมูลค่าทรัพย์ที่จะต้องยึดจำนวน 46,373.69 ล้านบาทนั้น แยกเป็นเงินสดประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาทเศษ ที่เหลืออีก 170 ล้านบาท เป็นหน่วยลงทุนและหุ้น

โดยในส่วนเงินสด 4.6 หมื่นล้านบาทเศษนั้น สามารถโอนเข้าบัญชีสมทบเงินคงคลังได้เลย ขณะนี้ขอดูความเรียบร้อยของเอกสารอีกเล็กน้อยก็จะสามารถเสนอไปให้นางเสาวนีย์ กมลบุตร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายได้ เป็นผู้ลงนามแล้วส่งไปยังธนาคารเจ้าของบัญชีทั้ง 6 ได้ในทันที คงไม่ต้องให้นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนาม เนื่องจากเป็นอำนาจโดยตรงของกรมบัญชีกลางที่สามารถดำเนินการยึดทรัพย์ตามคำสั่งศาลได้ทันที ส่วนหน่วยลงทุนและหุ้น กรมบัญชีกลางมีข้อมูลพร้อมดำเนินการยึดทรัพย์ แต่จะยังไม่ยึดเข้าคลังในขณะนี้
 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน่วยลงทุนที่อยู่ในข่ายที่จะต้องถูกยึดทรัพย์นั้น ประกอบด้วย หน่วยลงทุนของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ในบัญชีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ตราสารหนี้ จำนวน 13,215,843.15 หน่วย หน่วยลงทุนของนายพานทองแท้ ชินวัตร ในกองทุนเดียวกัน จำนวน 70,815,104.77 หน่วย และหน่วยลงทุนของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในกองทุนเดียวกัน จำนวน 57,799,458.99 หน่วย 
 

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมดีเอสไอ กล่าวถึงการตรวจสอบ

การถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารของนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชาย และบุตรสาว ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า วันเดียวกันนี้ ผู้แทนจากกรมสรรพากร มาร้องต่อดีเอสไอให้ตรวจสอบเส้นทางเงิน เพราะไม่มีอำนาจ โดยข้อมูลเบื้องต้นที่กรมสรรพากรมอบให้ดีเอสไอ พบว่า
มีการถอนเงินออกบัญชี ธนาคารพาณิชย์กว่า 20 แห่ง เข้า 6 บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งสองคน แต่กรมสรรพากรไม่ทราบชัดเจนว่า มีจำนวนเงินเท่าไหร่ และนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด และวันที่ 1 เมษายน ดีเอสไอจะทำหนังสือไปยังธนาคารเพื่อขอข้อมูลการถอนเงิน
 

นายธาริต กล่าวว่า หากได้ข้อมูลจากธนาคารแล้วดีเอสไอกับเจ้าหน้าที่สรรพากรจะร่วมกันพิจารณาว่า เข้าข่ายความผิด 1.โกงเจ้าหนี้หรือไม่ และ 2.ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ หรือไม่ ทั้งนี้ กรมสรรพากรถือเป็นเจ้าหนี้โดยตรง เพราะการถอนเงินออกจากบัญชีทำให้กรมสรรพากรได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม การสอบสวนช่วงนี้เป็นเพียงการหาข้อมูลเบื้องต้น ตามที่มีผู้ร้องขอ หากพบว่า เรื่องดังกล่าวเข้าข่ายมีการกระทำผิดจริง ดีเอสไอจะสรุปเสนอคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณาลงมติอีกครั้ง
 

"คาดว่า เงินยังอยู่ในระเทศไทย ยังไม่มีการโอนถ่ายไปต่างประเทศ เนื่องจากไม่มีการรายงานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้นเป็นหน้าที่ของดีเอสไอต้องจำแนกรายละเอียดจำนวนเงินให้ชัดเจนว่าถูกกระจายไปอยู่ที่ใดบ้าง คาดว่า 1 สัปดาห์จะได้ความชัดเจน" อธิบดีดีเอสไอกล่าว


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์