จับตา คดี 10 เมษายน ลักษณะ ประวัติศาสตร์ สอบ ′อภิสิทธิ์′

จับตา คดี 10 เมษายน ลักษณะ ประวัติศาสตร์ สอบ ′อภิสิทธิ์′

มติชน 5 ธันวาคม 2554


การเดินทางไปให้ปากคำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลในวันที่ 8 ธันวาคม เกี่ยวกับเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน 2553

มีลักษณะประวัติศาสตร์

เช่นเดียวกับ การเดินทางไปให้ปากคำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลในวันที่ 9 ธันวาคม เกี่ยวกับเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน 2553

ก็มีลักษณะประวัติศาสตร์

เป็นการให้ปากคำเพราะว่าเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน 2553 นั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรับผิดชอบในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

เป็นการให้ปากคำเพราะว่ามีนายทหารที่ออกปฏิบัติการในการขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นปฏิบัติการตามคำสั่งของผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

เป็นการให้ปากคำเพราะว่าศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จัดตั้งขึ้นภายใต้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

เป็นการให้ปากคำเพราะว่ามีคนตายจากคำสั่งอันมาจากนายกรัฐมนตรี

มองในเชิงเปรียบเทียบ มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในความพยายามคลี่คลายคดีอันเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ระหว่างรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เป็นความแตกต่างในเรื่อง "บทสรุป"

เป็นความแตกต่างในเรื่อง "ความคืบหน้า" ของรูปคดี

กล่าวสำหรับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีบทสรุปตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2553 แล้วว่าการตายที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนหนึ่งเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า "ชายชุดดำ"

แต่ที่แปลกก็คือ เป็นบทสรุปซึ่งไม่มีความคืบหน้า

1 ไม่มีความคืบหน้าว่า "ชายชุดดำ" เป็นใคร ขณะเดียวกัน ไม่มีความคืบหน้าในเรื่องการจัดทำสำนวนเพื่อส่งให้อัยการ

จากเดือนเมษายน 2553 จนถึงเดือนเมษายน 2554 ไม่มีการขยับขับเคลื่อน

ต่อเมื่อผ่านการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกรกฎาคม 2554 และรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เข้าบริหารราชการแผ่นดินนับแต่วันที่ 25 สิงหาคม เป็นต้นมานั้นหรอก จึงได้มีการนำสำนวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษมามอบให้กองบัญชาการตำรวจนครนาลดำเนินการชันสูตรพลิกศพ 13 ศพ ความคืบหน้าจึงได้เกิดขึ้น

กระทั่งมีการเรียกตัว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปให้ปากคำ

ที่ว่าการไปให้ปากคำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีลักษณะประวัติศาสตร์

1 เพราะว่าเป็นครั้งแรก

สถานการณ์เดือนตุลาคม 2516 ไม่มีการเรียกตัว จอมพลถนอม กิตติขจร สถานการณ์เดือนตุลาคม 2519 ไม่มีการเรียกตัว ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช สถานการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ไม่มีการเรียกตัว พล.อ.สุจินดา คราประยูร

แต่สถานการณ์เดือนเมษายน 2553 มีการเรียกตัว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปให้ปากคำ

ขณะเดียวกัน 1 ซึ่งสำคัญเป็นอย่างมากการเรียกตัวเป็นไปตามกฎหมาย

เป็นการเรียกตัวของเจ้าพนักงานสอบสวนแห่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยผู้บัญชาการตำรวจนครบาลโดยความเห็นชอบของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

มิได้เป็นการเรียกตัวหรือเชิญตัวโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ

มิได้เกิดขึ้นโดยกระบวนการไต่สวนในแบบของ คตส.อันเป็นผลจากคำสั่งจากการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

หากแต่ดำเนินไปโดยการให้นโยบายของรัฐบาลอันมาจากการเลือกตั้งของประชาชน

บทสรุปจะออกมาอย่างไรขึ้นอยู่กับการให้ปากคำและการไต่สวนขั้นต่อไปของศาล

คุณูปการของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากมองเชิงเปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านี้

ประการหนึ่ง อยู่ตรงที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำเนินตามหลักนิติธรรม ประการหนึ่ง อำนาจในการสอบสวน อำนาจในการวินิจฉัย ขึ้นอยู่กับตำรวจ ขึ้นอยู่กับอัยการ

และที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของศาลยุติธรรมตามกระบวนการพิจารณา


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์