จริงหรือเปล่า ?? มัวกัดกันอยู่ได้ !!!

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (10 ก.ค.) เวลา 08.30 น.

ที่เนติบัณฑิตยสภา ได้มีการอบรมหลักสูตรภาคจริยธรรมเนติบัณฑิต สมัยที่ 58 โดยมี พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ยุติธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน ทั้งนี้ ในการอบรมนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้มาร่วมงานพร้อมกับกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า น่าห่วงที่คนไทยยุคนี้ใส่เสื้อเหลืองแต่พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ซึมเข้าไปในจิตใจ หากไม่ขจัดอธรรม 5 อย่างออกไปจากตัวเรา ประเทศไทยจะพัฒนาไปสู่ความหายนะ พัฒนาที่ไปสู่ความตาย คือ หลง โลภ โง่ โกง และกัด โดยจะทำอะไรต้องคิดให้หนัก อย่าหลงไปตามกระแสทุนนิยม เสรีนิยม บริโภคนิยมโดยโลภ ไปลอกเอาตะวันตกเข้ามาโดยหลงลืมตนเอง ลืมรากเหง้าความเป็นไทยจนโง่ สามารถทำได้ทุกอย่าง เพราะกลัวตกกระแสทุนนิยมโดยไม่ดูว่าสภาพแวดล้อมของประเทศไทยเป็นอย่างไร ตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย เลอะเลือน พูดไทยคำอังกฤษคำ ถูกกระแสบริโภคนิยมครอบงำจนเกิดการโกง คอรัปชัน และอย่ากัดกัน ความจริงคำเต็มของกัดคือกัดกัน เพราะคนมันกัดกันเรื่อยน่ารำคาญ ปัจจุบันยังกัดกันอยู่ อย่าทะเลาะกัน กัดกันในเรื่องไร้สาระที่มีอยู่มากเหลือเกิน

ย้ำให้นักการเมืองเลิกโกงชาติ



นายสุเมธกล่าวว่า เรื่องการทุจริตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแช่งแล้วว่าให้มีอันเป็นไป พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า คนเหล่านี้เป็นพวกปากอ้า ถมเท่าไหร่ไม่เต็ม หลงไปกับฐานะความร่ำรวย ขอเตือนว่าอย่าให้ความร่ำรวยมานำหน้าเรา มาเป็นนายเรา จะกัดกันทะเลาะกันไม่จบสิ้นบ้านเมือง เสียเวลากับเรื่องไร้สาระไปมากสร้างความเวียนหัวให้กับประชาชน ขอให้นำเอาการปฏิบัติพระองค์ ของพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแบบอย่าง ไม่ต้องไปเลียนแบบต่างชาติ เพราะในหลวงทรงคิดได้ก่อนฝรั่งมาเป็นเวลา 60 ปีแล้ว คือ ปฐมพระบรมราโชวาท เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม คำว่าธรรม คำเดียวครอบคลุมทุกอย่างทุกองค์กร ทุกคนสามารถปฏิบัติได้อย่างง่าย แต่ต้องขจัดอธรรมให้ได้ก่อน ไม่ใช่โกงอย่างไรให้ใสจนจับไม่ได้ ประเทศชาติต้องเลือกว่าจะพัฒนาไปอย่างไร ไม่ใช่พัฒนาไปสู่สังคมการบริโภคนิยม ใช้ทรัพยากร 3 ส่วน แต่พัฒนาแค่ 1 ส่วน ถ้าเป็นอย่างนี้ประเทศชาติพังแน่ ตนไม่ได้พูดแบบคนโง่ แต่เคยเป็นอดีตเลขาธิการสภาพัฒน์ จะขยายการลงทุนอะไรต้องดูศักยภาพตัวเองให้ดี ไม่ใช่ขยายการลงทุนไปสู่ความตาย ความพินาศ การพัฒนาจะต้องทำอย่างไรให้ เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน

อย่าหลงอำนาจ-กร่างจนลืมตัว



โดยเฉพาะข้าราชการ นักการเมือง รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี จะต้องยึดแนวทศพิธราชธรรมของในหลวงมายึดถือปฏิบัติให้มั่น โดยเฉพาะความสุภาพอ่อนโยน ความอดทน ความตั้งใจที่จะไม่ประพฤติผิด เสียสละเพื่อประชาชนได้ประโยชน์ ยิ่งเป็นใหญ่แค่ไหนจะต้องทำตัวให้ต่ำ เพื่อสามารถรับรู้ปัญหาได้แท้จริง ไม่ใช่พอมีอำนาจก็กร่างวางก้าม จะไม่มีใครรักเรา ใครจะใหญ่โตแค่ไหนไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นประธานศาลฎีกา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ให้นึกตลอดเวลาว่าตำแหน่งจะเป็นเกียรติโดยตัวมันเองไม่ได้นอกจากคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งทำตัวให้ได้รับเกียรติความไว้วางใจจากประชาชน จะเป็นสิ่งที่เป็นความสุขมากกว่าการจะอยู่ในตำแหน่งได้สามารถทำประโยชน์ต่อส่วน รวมได้มากหรือไม่ เพราะตำแหน่งเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ไป ไม่ได้อยู่กับเราจนตาย เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนากล่าวย้ำ

ถ้ารู้รักสามัคคีบ้านเมืองจะสงบ



ขณะเดียวกัน นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางที่จะทำให้ ประชาชนคนไทยนำเอากระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติ เพื่อให้สามารถพ้นวิกฤติในบ้านเมืองขณะนี้ไปได้ว่า วิกฤติหรือ ตนไม่เห็นจะวิกฤติอะไรเลย ความจริงตลอดระยะเวลา 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเป็นหลักและศูนย์รวมของประชาชนชาวไทยและแผ่นดินมาตลอด ตลอด 60 ปี พระองค์ได้พระราชทานคำสั่งสอนและธรรมะต่างๆ ให้ พวกเรายึดปฏิบัติ ถ้าพวกเราใส่ใจสักนิด สถานการณ์ในบ้านเมืองต่างๆ ก็คงจะเรียบร้อย สงบลงได้ โดยทรงสั่งสอนให้ยึดหลักความรู้รักสามัคคี โดยก่อนที่จะทำอะไรเราต้องรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และให้แก้ปัญหากันด้วยความรัก ความเมตตา ตั้งอยู่บนฐานของความสามัคคี ต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ คิดว่าถ้าลดทิฐิกันลงไปและยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ปัญหาก็จะแก้ได้

ให้ยึดแนวพระราชดำรัสเพื่อชาติ



นายสุเมธกล่าวว่า ถ้าจำกันได้เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา พระองค์ก็ได้รับสั่งขอให้ทุกฝ่ายนำพระราชดำรัส 4 ข้อ หากพวกเราได้ถวายเป็นราชพลีเนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี บ้านเมืองก็คงจะอยู่ในความสงบ ผู้คนก็มีความสุขความสงบไปด้วย ความจริงไม่ได้รับสั่งขออะไรที่เหลือบ่ากว่าแรงไปเลย โดยรับสั่งประการแรก ขอให้ตั้งอยู่ในความเมตตา จะทำอะไรให้เอื้อต่อกันประสานกัน 2. ให้ยึดมั่นเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต พูดหรือคิดอย่างมีเหตุผล 3. ให้ยึดมั่นหลักกฎหมาย ระเบียบแบบแผนต่างๆ ที่ได้มีการกำหนดไว้แล้ว โดยทรงเน้นด้วยว่า ให้ยึดอย่างเสมอภาค และ 4. จะทำอะไรก็ขอให้มีความเข้าใจต่อกัน เมตตาต่อกัน ใช้เหตุผลเป็นเครื่องนำทาง ขอให้ทุกคนกลับไปอ่านทบทวนกันให้มากๆ ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องยากเลย ถ้าเราปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าใครอยู่ในฐานะอาชีพอะไรก็สามารถปฏิบัติตาม 4 ข้อนี้ได้ ประเทศชาติเราก็คงจะอยู่ในความสงบและไปสู่ประโยชน์สุขดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งความปรารถนาไว้เมื่อ 60 ปีที่แล้ว

ติงอย่าดึงเบื้องสูงโยงใยการเมือง



เมื่อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ที่ตอนนี้มีการนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเชื่อมโยงกับเรื่องทางการเมือง นายสุเมธตอบว่า ไม่ควร พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และอยู่ในใจของพวกเรา ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ควรที่จะนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องอธิบายการกระทำของตน หรือมาเป็นเครื่องช่วยทำให้ตัวเองมีเหตุมีผลอะไร เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง เมื่อถามว่า การที่นายกฯพูดถึงผู้มีบารมีทางการเมือง นายสุเมธตอบว่า ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เพราะตามหลักพุทธศาสนานั้นเขาเรียกบารมี 10 ประการ มีทานบารมี ศีลบารมี และอะไรต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ของคนดี ทำไมตื่นเต้นกันจัง เมื่อถามว่า การออกมาพูดในลักษณะนี้ทำให้เกิดกระแสขึ้นในบ้านเมือง นายสุเมธตอบว่า ไม่ใช่คนพูด ก็เลยไม่รู้ เมื่อถามอีกว่า ทางแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯนำเรื่องนี้ไปขยายผลจะยิ่งทำให้สังคมเกิดความสับสนยิ่งขึ้นหรือไม่ เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาตอบว่า ไม่รู้ ผมไม่เห็นสับสนอะไร คือใจอย่าให้สับสนมันก็ไม่สับสน อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนยึดหลัก 4 ประการ ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสอนในการดำเนินชีวิตก็แล้วกัน

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์