ความแปลกประหลาด 10 ประการ ของการเลือกตั้ง 2 เมษายน

ความแปลกประหลาด 10 ประการ ของการเลือกตั้ง 2 เมษายน

โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง 3 เมษายน 2549 17:09 น.

หลังจากไปใช้สิทธิเลือกตั้งในตอนเช้า 2 เมษายน ผมก็เดินทางกลับ นั่งคิดทบทวนว่า ตนเองเพิ่งจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอะไร

ต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ผมคิดและประมวล เกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้

1) การเลือกตั้งครั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะนายกรัฐมนตรี 1 คน ต้องการแก้ข้อกล่าวหาว่าไร้จริยธรรม ไม่น่าเชื่อถือ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จึงไพล่ไปยุบสภา เพื่อให้เลือกตั้ง ส.ส.ขึ้นมาใหม่จำนวน 500 คน

นึกถึงธรรมเทศนาของพระอาจารย์ พุทธทาสภิกขุ ที่ว่า

ไม่มีธรรมแล้ว การเลือกตั้งผู้แทนก็โกง
ผู้แทนที่ได้มา ก็เป็นผู้แทนโกง
ประกอบขึ้นเป็นรัฐสภา ก็เป็นรัฐสภาโกง
แม้สภาที่ตั้งรัฐบาลขึ้นมา ก็เป็นรัฐบาลโกง
ประชาธิปไตยจึงไม่มีวันจะเต็มใบ...


2) การเลือกตั้งครั้งนี้ ใช้งบประมาณแผ่นดิน 2,200 ล้านบาท และประชาชนที่ไปเลือกตั้งก็มีต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนตัวรวมกันกว่า 8,000 ล้านบาท รวมแล้วสังคมมีต้นทุนต้องสูญเสียไปกับการเลือกตั้ง ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท

ทั้งหมด เพื่อแก้ข้อกล่าวหาให้ตัว พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว

3) การเลือกตั้งครั้งนี้ มีพรรคการเมืองขนาดใหญ่ลงสมัครรับเลือกตั้งเพียงพรรคเดียว โดยพรรคการเมืองอื่นๆ พร้อมใจกันประกาศคว่ำบาตร ไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเพื่อประท้วงการเลือกตั้ง ในขณะที่ปรากฏข่าวว่า มีการว่าจ้างผู้สมัครพรรคเล็ก แอบสนับสนุนพรรคเล็กให้ลงสมัคร เป็นไม้ประดับ เพื่อเป็นข้ออ้างความชอบธรรม และหลบเลี่ยงกฎหมายการเลือกตั้งที่กำหนดว่า หากเขตใดมีผู้สมัครรายเดียวจะต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 20% ของจำนวนผู้มีสิทธิทั้งหมด

การเลือกตั้งครั้งนี้ ปรากฏว่า เป็นครั้งแรก และครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ชาติไทย และอาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโลกประชาธิปไตย ที่มีเขตเลือกตั้งกว่า 171 เขต มีผู้สมัครเลือกตั้งเพียงคนเดียว โดยไม่มีคู่แข่ง

4) การเลือกตั้งครั้งนี้ ปรากฏว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถูกข้อกล่าวหาครหาจำนวนมากที่สุด มัวหมองที่สุด ไม่ว่าจะเป็น กรณีที่ กกต.ออกระเบียบขึ้นเงินค่าตอบแทนให้แก่ตนเองในลักษณะเดียวกับ ป.ป.ช. ซึ่งบัดนี้ ป.ป.ช. ได้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ต้องโทษจำคุก เป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ

กรณีออกระเบียบและการเบิกจ่ายงบลับอย่างน่าเคลือบแคลงสงสัย, กรณีจงใจไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในการสรรหา กกต.คนใหม่ หลังจากที่นายจรัล บูรณะพันธ์ศรี หนึ่งใน กกต.ได้เสียชีวิตลง, กรณี กกต.แบ่งพื้นที่ดูแลตามภาค ในขณะที่ กกต.ชุดที่แล้วแบ่งกันรับผิดชอบตามหน้าที่ จึงมีข้อกังขาว่า กกต.เจ้าของพื้นที่จะให้ใบแดง ใบเหลือง กับใครก็ได้ เกิดช่องว่างในการวิ่งเต้น, กรณี กกต.กำหนดวันเลือกตั้งโดยร่วมกันกับหัวหน้าพรรครัฐบาลและที่ปรึกษากฎหมายเพียงฝ่ายเดียว, กรณีข้อสงสัยในเรื่องการพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกิน รวมไปถึงกรณี กกต.เคยมีมติให้ใบเหลืองใบแดงแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่ประธาน กกต.กลับมีการประกาศใบเหลืองใบแดงไม่ตรงกับมติของคณะกรรมการ กกต. ฯลฯ

5) การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่รู้ผลการเลือกตั้งล่วงหน้า เพราะมีพรรคใหญ่พรรคเดียว บรรยากาศการเลือกตั้งก็เงียบเหงา ไม่คึกคักเหมือนที่ผ่านๆ มา ไม่มีการนำเสนอนโยบาย มีแต่การยึดเอานโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นตัวประกัน หรือข่มขู่ว่าถ้าทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ ประเทศจะต้องไปกู้ไอเอ็มเอฟอีกรอบ ไม่มีการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างรอบด้าน ไม่ใส่ใจการมีส่วนร่วมของประชาชน

กระทั่งรัฐบาลรักษาการณ์เอง ยังพยายามทำให้สังคมเข้าใจผิดว่า การเลือกตั้งคือประชาธิปไตย จงใจละทิ้งการมีส่วนร่วมของประชาชนซึ่งเป็นหัวใจที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย

6) การเลือกตั้งครั้งนี้ มีภาคประชาสังคม สถาบันวิชาการที่มีชื่อเสียง และผู้ทรงคุณวุฒิในสังคม ออกมารณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง โดยกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใคร มากที่สุดเป็นประวัติการณ์

สะท้อนความไร้คุณภาพของการเลือกตั้งในครั้งนี้

7) ระหว่างการรณรงค์เลือกตั้งครั้งนี้ ปรากฏว่ามีการใช้ความรุนแรงในสังคม โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรงกับสื่อ เพื่อประสงค์ต่อการข่มขู่ คุกคาม แทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน โดยเฉพาะกรณีการปิดล้อมบริษัทเนชั่นฯ และบริษัทในเครือผู้จัดการ

นอกจากนี้ ยังมีการวางระเบิดที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และการใช้กำลังบุกป่วนและทำลายการเปิดปราศรัยชี้แจงสาเหตุที่ไม่ลงเลือกตั้ง ณ จังหวัดเชียงใหม่

น่าสังเกตว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ได้เกิดกับฝ่ายที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล

ไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่เบื้องหลังการกระทำนอกกฎหมายเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม แต่รัฐบาลในฐานะผู้ดูแลรักษาความสงบของประเทศจะต้องรับผิดชอบโดยตรง

8) ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้เกิดความแปลกประหลาดหลายประการ เช่น มีการจัดคูหาเลือกตั้งโดยให้ผู้ใช้สิทธิหันหลังให้แก่ประชาชน กรรมการเลือกตั้ง และผู้สังเกตการณ์ในหน่วยเลือกตั้ง ทำให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เพราะคนอื่นสามารถจะสังเกตเห็นว่าผู้ใช้สิทธิแต่ละคนใช้สิทธิอย่างไร กาคะแนนช่องใด ไม่คุ้มครองให้การลงคะแนนเป็นความลับ จึงเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 104 อย่างชัดเจน ถึงขนาดว่าประชาชนทั่วประเทศยังดูผ่านโทรทัศน์ก็ทราบได้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคนดังคนอื่นๆ กาช่องอะไร

นอกจากนี้ ยังมีการติดประกาศรายชื่อผู้สมัครและเบอร์ของผู้สมัครในคูหาเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ มีการติดประกาศอยู่ในบริเวณหน่วยเลือกตั้งอยู่แล้ว และในหลายหน่วยเลือกตั้งก็มีผู้สมัครเพียงคนเดียว การติดประกาศไว้ในคูหาจึงเป็นการโฆษณาจูงใจ ตอกย้ำให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนให้ผู้สมัครรายเดียว โดยไม่ได้มีการติดประกาศอธิบาย ทางเลือก ของประชาชนด้วยว่ายังสามารถกาช่อง ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใคร ก็ได้

น่าสงสัยว่า วิธีการเหล่านี้ จะเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวพันกับกระบวนการโกงเลือกตั้งอย่างครั้งที่ผ่านๆ มาหรือไม่ เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีทั้งการซื้อหน่วยเลือกตั้งแบบยกหน่วย การเปลี่ยนบัตรเปลี่ยนหีบเลือกตั้ง การเอาบัตรเลือกตั้งที่กาไว้แล้วเข้ามาสวมรอยแทนบัตรเลือกตั้งของประชาชน ฯลฯ

9) การเลือกตั้งครั้งนี้ มีการแสดงออกเพื่อประท้วงการเลือกตั้งไม่ชอบธรรมอย่างหลากหลาย เช่น รศ.ดร.ไชยยันต์ ไชยพร หัวหน้าภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้หยิบบัตรเลือกตั้งของตนเองขึ้นมาฉีกต่อหน้าสื่อหน้ามวลชน เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านโดยสันติวิธี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 65 นอกจากนี้ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ยังถึงกับประท้วงด้วยการเอาไม้จิ้มฟันเจาะปลายนิ้ว เพื่อใช้เลือดแทนหมึกปากกา ทำเครื่องหมายลงในบัตรเลือกตั้ง

สะท้อนความรู้สึกของสังคมว่า ประชาชนกำลังรู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก

10) การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่กระทำไปโดยที่รู้ทั้งรู้ว่า จะไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้ เพราะจำนวน ส.ส.ไม่ครบ 500 คน เนื่องจากผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคไทยรักไทยมีแค่ 99 คน และยังมีเขตเลือกตั้งอีกจำนวนมาก ที่ส่อว่าผู้ชนะเลือกตั้งจะได้ไม่ถึง 20% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

น่าติดตามว่า ต่อจากนี้ไป จะมีความพยายามบิดเบือนกฎหมาย แหกกฎกติกา แหวกธรรมเนียมปฏิบัติ ทำลายหลักการประชาธิปไตย และละเมิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อหาทางเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทั้งๆ ที่ยังมี ส.ส.ไม่ครบ 500 คน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชินวัตร

นั่นจะเป็นเครื่องตอกย้ำว่า กระบวนการทั้งหมดนี้ ความแปลกประหลาดและพิสดารของการเลือกตั้งในครั้งนี้ ถูกจัดให้มีขึ้นก็เพื่อสถาปนาอำนาจของคนคนเดียว

เพื่อฟอกตัวให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร!!!

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์