กรณ์แจงเหตุออกพ.ร.ก.กู้เงิน4แสนล.

คมชัดลึก :รมว.คลัง แจงความจำเป็นที่ต้องออกพ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ด้านวิปรัฐ-ฝ่ายค้าน ซักซ้อมความเข้าใจพร้อมตกลงแยกพิจารณา“พ.ร.ก.-ร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 8 แสนล้าน” ด้าน“ชินวรณ์” ย้ำ ห้ามนอกประเด็น เน้น ให้อภิปรายและลงมติพ.ร.ก.ให้จบในวันเดียว

(15มิ.ย.) เวลา 10.00 น. มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 21 ปีที่ 2 ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) พิจารณาพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน

เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 เริ่มด้วยการชี้แจงความจำเป็นการออกร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าวของนายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง โดยนายกรณ์ กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย โดยทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยหดตัวลงรวดเร็ว ประกอบกับ ผลกระทบจากวิกฤตทางการเมือง ทำให้เศรษฐกิจไทยตกต่ำรุนแรง อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพี หดตัวลง 6.2 % ในไตรมาส 4 ปี 2551 และ 7.1 % ในไตรมาสแรกของปีนี้ 


ขณะที่การจัดเก็บรายได้ลดลง จากการคาดการณ์ว่า สิ้นปีงบประมาณ จะต่ำกว่าเป้าหมายถึง 2 แสน8 หมื่นล้านบาท

ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวก็ลดลงมาก เพราะนักท่องเที่ยวขาดความมั่นใจในการเดินทางมาประเทศไทย หากไม่ดำเนินมาตรการใดอย่างทันท่วงที จะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน 
นายกรณ์ กล่าวต่อว่า แม้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือภาคส่วนต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และยังมีปัจจัยในประเทศอาจทำให้เศรษฐกิจหดตัวลง 4-5 % จึงจำเป็นต้องรีบดำเนินมาตรการป้องกันปัญหาไม่ให้ลุกลามเป็นลูกโซ่  ด้วยการจัดทำโครงการ เพื่อให้เงินกระจายไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ให้ จีดีพี เข้าสู่ภาวะปกติ จึงกำหนดมาตรการไทยเข้มแข็ง ปี 2552-2555 เน้นจัดการลงทุนโครงการสำคัญที่จำเป็นและโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาประชากร ก่อให้เกิดการสร้างงาน กระจายรายได้ กว่า 6,000 โครงการ มูลค่า ล้าน 4 แสน 3 หมื่นล้านบาท ถ้าบรรลุตามวัตถุประสงค์ จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโต 1.5 % ต่อปี และเกิดการจ้างงานปีละ 4-5 แสนคน  ขณะเดียวกัน รัฐบาลจำเป็นต้องปรับลดตัวเลขงบประมาณ ปี 2553 โดยขาดดุลลงอีก 2 แสนล้านบาท เหลือ ล้าน 7 แสนล้านบาท 
 
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า อำนาจการกู้เงินของรัฐบาลมีข้อจำกัดบางประการ ในส่วนเพดานการกู้เงิน

ซึ่งต้องไม่เกิน 20 % ของงบประมาณ ขณะที่รัฐบาลต้องหาเงินลงทุนอีก 6-7 แสนล้านบาท จึงจำเป็นต้องตรากฎหมายพิเศษ เพื่อกู้เงินเพิ่มเติม โดยคำนึงถึงความเร่งด่วน ฉุกเฉิน และต่อเนื่อง จึงตราเป็นพระราชกำหนดกู้เงิน 4 แสนล้านบาท เป็นเงินบาทกู้ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2553 ที่ต้องเสนอสภาฯ เพื่อทราบก่อนดำเนินการ  และจะออกร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน อีก 4 แสนล้านบาท 
ซึ่งคาดว่าจะทำให้รัฐบาลมีเงินทุนเพียงพอแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ฐานะการคลังมีประสิทธิภาพในระยะยาว จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวจากภาวะถดถอย กลับมาเป็นบวกได้ตั้งแต่ปี 2553 และกลับสู่ภาวะปกติ ตั้งแต่ปี 2554  โดยยืนยัน รัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายด้วยความโปร่งใส


ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมครม.นัดพิเศษเพื่อพิจารณากรอบการใช้เงินตามร่างพ.ร.ก.กู้เงิน

โดยใช้เวลาหารือประมาณ 30  นาที จากนั้นนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ว่า ครม.พิจารณากรอบการใช้เงินที่จะดำเนินการตาม พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อที่จะได้เสนอให้สภาทราบเป็นไปตามเงื่อนไขของ พ.ร.ก.ก่อนที่จะมีการดำเนินการ  เมื่อถามว่าจะสร้างความมั่นใจอย่างไร เพราะมีข้อห่วงใยจากฝ่ายค้านว่าการใช้เงินจะไม่มีความโปร่งใส นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 15-16 มิ.ย.ที่ประชุมสภาก็จะเห็นกรอบของการใช้เงินว่าวัตถุประสงค์หลักๆ 7 ข้อคืออะไร และถ้ายังติดใจเรื่องของการกระจายและการนำไปสู่จังหวัดต่าง ๆ ก็จะมีบัญชีของจังหวัดและโครงการในแต่ละประเภทว่าไปลงในจังหวัดไหนเท่าไหร่ หลังจากนั้นก็จะมีการเปิดโอกาสให้ติดตามได้ 
 
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะเกิดการตีรวนระหว่างการพิจารณาในสภา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ คงไม่มีมั๊งครับ ” 
 
ผู้สื่อข่าวถามว่าคณะกรรมการชุดของนายพนัส สิมะเสถียร ที่แต่งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินยังคงมีบทบาทอยู่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังคงยังทำงานอยู่ ทำตั้งแต่เรื่องการกลั่นกรองจนถึงการไล่ติดตามการใช้จ่ายงบประมาณต่าง ๆ ถือว่ากรรมกรฯชุดนี้มีบทบาทมากเพราะมีทั้งกรรมการกลั้นกรอง 1 ชุดและกรรมการติดตามอีก 1 ชุด ที่ทำหน้าที่คอยติดตามดูทั้งในแง่ประสิทธิภาพและความโปร่งใสของการใช้เงินตามโครงการต่าง ๆ 
 
เมื่อถามว่าวิตกกับคำขู่ของ ส.ว.หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่วิตก ตนก็จะพยายามชี้แจงให้ดีที่สุดในวุฒิสภา

ซึ่งร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ คือทั้ง พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.กู้เงิน คิดว่าจะสามารถอธิบายและชี้แจงได้ แต่ในส่วนของตัว พ.ร.บ.กู้เงินนั้นจะนำเอารายละเอียดไปให้ดูในชั้นของกรรมาธิการ แต่ตัว พ.ร.ก.เนื่องจากมีเพียงวาระเดียวในการผ่านความเห็นชอบก็จะทำกรอบให้ดู 
 
“ผมมั่นใจว่าจะสามารถผ่านความเห็นชอบของสภาได้ เพราะกฎหมายดังกล่าวเป็นประโยชน์กับประเทศ ” นายกรัฐมนตรี กล่าว


ทางด้านนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงแนวทางการอภิปรายพ.ร.ก.และร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552

จากการประสานกับประธานวิปฝ่ายค้านที่ประชุมจะแยกกันพิจารณา โดยหลังจากที่นายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลัง นำเสนอพ.ร.ก.แล้ว รัฐบาลและฝ่ายค้านจะอภิปรายสลับกันไป ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า รัฐบาลได้เตรียมผู้อภิปรายหลักไว้ 13 คน อาทิ นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก , นายอรรถวิทย์ สุวรณภักดี ส.ส.กรุงเทพฯ , นายสุวโรช พะลัง ส.ส.ชุมพร   เป็นต้น   ส่วนแนวทางในการอภิปรายของฝ่ายรัฐบาล จะยึดตามแนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้วินิจฉัยความชอบธรรมของการออกพ.ร.ก. โดยวิปได้ย้ำกับสมาชิกไม่ให้อภิปรายนอกประเด็น ทั้งนี้ในการพิจารณาจะพยายามให้อภิปรายและลงมติพ.ร.ก.เสร็จสิ้นภายในวันนี้ โดยการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ฯ จะดำเนินการต่อในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้ ( 16 มิ.ย.) 
            
ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศการประชุมวิปรัฐบาล ในที่ประชุมประธานวิปรัฐบาลได้ย้ำกับส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านโดยขอให้อภิปรายอยู่ในประเด็น

และคอยสกัดไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปรายออกนอกประเด็น โดยเฉพาะหากมีการหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับการวินิจฉัย พ.ร.ก.ฯของศาลรัฐธรรมนูญ , เรื่องเกี่ยวกับการทุจริต และโครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คัน มาอภิปรายให้ช่วยกันสกัดกั้นเนื่องจากโครงการเช่ารถเมล์ไม่เกี่ยวกับวงเงินกู้ในพ.รก.และร่างพ.ร.บ.ฯ 
           
ด้านบรรยากาศการประชุม คณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.อยุธยา ประธานวิปฝ่ายค้านเป็นประธานการประชุม

ได้แจ้งกับสมาชิกถึงการประสานนอกรอบ เพื่อตกลงแนวทงการพิจารณาที่ได้ซักซ้อนความเข้าใจ ให้แยกพิจารณาระหว่างพ.ร.ก.กับร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว   จากนั้นประธานวิปรัฐบาลได้แจ้งที่ประชุมให้ทราบถึงกรณีที่นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส. นครพนม ได้เสนอขอให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพ.ร.ก. ก่อนที่จะลงมติซึ่งตนพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควร โดยได้ชี้แจงความเห็นกับนายไพจิตให้เข้าใจแล้ว นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้แจ้งว่า ตามที่ได้รับทราบกรอบเวลาในการอภิปรายของฝ่ายค้าน 12 ชั่วโมง จะแบ่งออกเป็นการอภิปรายพ.ร.ก.ฯ 9 ชั่วโมง และร่างพ.ร.บ. 3 ชั่วโมง ทั้งนี้เนื่องจากร่างพ.ร.บ.สามารถอภิปรายในภาพรวมได้


เมื่อเวลา 09.50 น. นายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าย(วิปฝ่ายค้าน) แถลงภายหลังการประชุมวิปฯว่า จากข้อเรียกร้องต่างของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทั้งการถ่ายทอดสด

การพิจาณาพ.ร.บ.และพ.รก. กู้เงิน 8 แสนล้าน รวมถึง การพิจารณาทีละฉบับ รัฐบาลก็ทำตามข้อเรียกร้องทั้งหมด ฝ่ายค้านจึงพร้อมให้ความร่วมมือในการพิจารณาครั้งนี้ โดยได้แบ่งการอภิปรายออกเป็น 4 ด้าน รวมไปถึงการพิจาณณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ปี 53 ด้วย คือ 1. ภาพรวมของทั้งพ.ร.บ.และพ.ร.ก.และร่างพ.ร.ก.งบประมาณปี 53 นำโดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ 2. ความล้มเหลวของรัฐบาลต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจการเงิน และการคลัง นำโดยนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน 3. ข้อห่วงใยในภาคเศรษฐกิจกับระบบหนี้สินของประชาชนและ นำโดยนายวิชาญ   มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. 4. สะท้อนให้เห็นแนวทางการทำงานของรัฐบาลในเรื่องการชำระหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ นำโดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน 
 
นายวิทยา กล่าวอีกว่า การอภิปรายของฝ่ายค้านจะคงอยู่ในกรอบที่กำหนดเดิมคือ 12 ชั่วโมง

หากรัฐบาลชี้แจงชัดเจนเชื่อว่าเวลาที่ใช้จะลดน้อยลงด้วย   ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการชี้แจงของรัฐบาล อย่างไรก็ตามในช่วงบ่ายวันนี้( 15 มิ.ย.) จะมีการประชุมวิปฝ่ายค้านเพื่อพิจารณาตัวบุคคลที่จะเป็นคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพ.ร.บ.กู้เงินฯในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยจำนวน 12 คน จาก 36 คน


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์