กรณ์ย้ำสัญญาณศก.ฟื้น คุยแผนกระตุ้นรอบ2ขยับแล้ว

รมว.คลังไม่สนถูกมองว่าไม่มีผลงาน ยันเดินหน้าขับเคลื่อนศก. แผนกระตุ้นรอบ2 เริ่มขยับแล้วเดือนนี้ แบงก์ชาติแจงเงินบาทแข็งค่า ผลมาจากการเกินดุลการค้าเพราะการส่งออกลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ เตรียมผ่อนกฎเกณฑ์นำเงินไปลงทุนต่างประเทศ เป็นแพ็คเก็จใหญ่ ลดแรงกดดันเงินบาทที่แข็งค่า

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ถึงกรณีที่ผลสำรวจของสวนดุสิตโพลระบุว่ากระทรวงการคลังไม่มีผลงาน

ไม่ได้ให้ความสนใจ และเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมองว่าไม่มีผลงาน เพราะกระทรวงการคลังมีหน้าที่จัดเก็บรายได้แผ่นดินและหาเงินให้กระทรวงอื่นๆ นำไปใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ยืนยันว่าผลงานที่ผ่านมาเป็นไปตามเป้าหมาย ไม่ได้สนใจว่าจะต้องมีผลงานโดดเด่น เพราะถือว่าเป็นงานเท้าหลัง แต่มั่นใจว่าจากนี้ไป กระทรวงการคลังพร้อมเต็มที่ในการขับเคลื่อนทุกนโยบายของรัฐได้ตามที่คาดหวังไว้
 

นายกรณ์กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวแล้ว เป็นไปตามคาดการณ์ของรัฐบาล เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกที่ออกมาเมื่อเดือนเมษายน

ซึ่งเริ่มเห็นผลช่วงไตรมาส 2 จะเห็นได้ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจเกือบทุกหมวดดีขึ้น แต่อย่าเพิ่งตื่นเต้น เพราะเศรษฐกิจยังต้องใช้เวลา ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจช่วงที่เหลือของปีนี้ เชื่อว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น จากการส่งออกที่เริ่มขยายตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เริ่มมีคำสั่งซื้อ และจากการหารือกับภาคเอกชนและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ พบว่าส่วนใหญ่เชื่อมั่นมากขึ้น รัฐจะเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 อย่างต่อเนื่อง คาดว่าในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนสิงหาคมนี้ น่าจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างได้แล้ว และเงินจะเข้าสู่ระบบเดือนตุลาคมเป็นต้นไป 
 


สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อช่วยส่งออก นายกรณ์กล่าวว่า รัฐบาลตั้งใจที่จะกู้ยืมเงินในประเทศ

เพื่อใช้ในการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบในโครงการลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดแรงกดดันค่าเงินได้บ้างในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และเป็นเหตุผลที่รัฐบาลต้องกู้ยืมเงินตาม พ.ร.ก. และ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวม  8 แสนล้านบาท แต่อย่าคาดหวังว่า จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง เพราะโครงการลงทุนส่วนใหญ่ยังคงใช้สินค้าทุนที่ผลิตในประเทศเป็นหลัก
 

นางธาริษา  วัฒนเกส  ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงเงินบาทที่แข็งค่า ว่า เป็นผลมาจากการเกินดุลการค้าเพราะการส่งออกลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ

โดยเร็วๆ นี้ ธปท.จะผ่อนคลายกฎเกณฑ์เงื่อนไขการอนุญาตออกไปลงทุนในต่างประเทศ (ระเบียบควบคุมเงินทุนขาออก) เพิ่มเติมให้นักลงทุนไทยทั้งรายใหญ่ และรายย่อยเพื่อให้ไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น  เพื่อลดแรงกดดันเงินบาทที่แข็งค่า โดยจะออกมาเป็นแพ็คเก็จใหญ่ เป็นมาตรการเพิ่มเติม หลังจากที่ ธปท.อนุญาตให้เอกชนไปลงทุนในตราสารและหลักทรัพย์ในต่างประเทศได้  โดยรายละเอียดขณะนี้ไม่สามารถระบุได้
 

นางธาริษากล่าวว่า เงินบาทเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค การเคลื่อนไหวของเงินบาทช่วงไตรมาส 2 แข็งค่าขึ้นเพียง 0.06%

ขณะที่ประเทศอื่น ๆ แข็งค่ากว่าเฉลี่ยประมาณ 2-4%  ขณะเดียวกันตั้งแต่ต้นปี 2552 จนถึงไตรมาส 1 เงินบาทแข็งค่าขึ้น 4% หากเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินรูเปียของอินโดนีซียแข็งค่าขึ้น 16-17% เงินวอนเกาหลีใต้ แข็งค่าขึ้น 13-14%  จึงมองได้ว่าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในระดับนี้ไม่ส่งผลให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขัน
 

“ ในระยะต่อไปเชื่อว่า การส่งออกไทยจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนมิถุนายนที่กลับมาขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า  ส่งผลให้การเกินดุลการค้าปรับลดลง และหากเศรษฐกิจโลกกลับเข้าสู่ภาวะปกติจะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงด้วย อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียจะฟื้นได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประเทศจีนจะปรับเปลี่ยนตลาดให้เป็นตลาดซื้อ-ขายภายในภูมิภาคได้มากน้อยเพียงใด ขณะนี้เริ่มเห็นจีนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากไต้หวัน และเกาหลีเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้น  ส่วนที่จะหวังพึ่งเศรษฐกิจอาเซียนดึงให้เศรษฐกิจไทยและประเทศในภูมิภาคหลุดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้คงไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดก็ต้องหวังพึ่งการบริโภคของสหรัฐและกลุ่มประเทศจี 3 ” นางธาริษากล่าว
 

นางธาริษา กล่าวว่า บทเรียนวิกฤตการเงินครั้งนี้ไทยต้องเพิ่มความระมัดระวังการเร่งอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว

โดยจะต้องมีความยั่งยืนด้วย ทั้งนี้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยภาคการผลิต ทั้งอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงภาคการใช้จ่ายเอกชนปรับขยายตัวในแดนบวก  หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เช่นเดียวกับการนำเข้าปรับตัวดีขึ้น คาดว่าระยะต่อไปน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
 

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวถึงกรณีที่ ธปท.จะมีมาตรการผ่อนปรนการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ

คงไม่กระทบต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย  เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางธปท.ก็เคยมีมาตรการผ่อนปรนมาแล้ว นักลงทุนในปัจจุบันก็มีการลงทุนในต่างประเทศส่วนหนึ่ง ทั้งการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารหนี้ ประกอบกับสภาพคล่องในระบบยังมีอยู่มาก เฉพาะบัญชีเงินฝากยังมีอยู่ถึง 6 ล้านล้านบาท การผ่อนคลายมาตรการก็จะยิ่งช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุน


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์