ฮอร์ นัม ฮง ร้องศาลโลกอ้างไทยรุกรานก่อน

ฮอร์ นัม ฮง ร้องศาลโลกอ้างไทยรุกรานก่อน


"ฮอร์ นัม ฮง"เปิดฉากแถลงด้วยวาจาฟ้องศาลโลกไทยเริ่มรุกรานก่อน โยนบาปรัฐบาลอภิสิทธิ์ ใช้อาวุธในพื้นที่ใกล้พื้นที่ปราสาททำให้เกิดความเสียหาย

นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ได้แถลงด้วยวาจาต่อศาลโลก ว่า จะทำให้ประเทศทั้งสองมีความสัมพันธ์อย่างราบรื่น ขอให้ทนายของเราให้รายละเอียดในส่วนที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่จะมีการพูดถึงบริบทที่จะทำให้ศาลตัดสินสิ่งเหล่านี้ที่จะทำให้เกิดมิตรภาพ เชื่อว่าไม่เพียงแต่เป็นโอกาสเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของสาระอัตถคดีที่จะนำเสนอต่อท่าน โดยขอเริ่มว่าทำไมเรื่องเกิดขึ้นมา 50 ปีแล้วจึงยกขึ้นมา เรื่องมาตรการชั่วคราวที่ศาลสั่งเมื่อ มิ.ย. 2511 ทำไมกัมพูชาจึงย้อนกลับมา 50 ปี อันนี้ไม่ใช่การทำขบวนการที่ซ้ำซากแต่เรารู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องกลับมาที่ศาลเพื่อพูดถึงการตีความที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นที่รับรู้กันดีตั้งแต่ต้น

ตั้งแต่สมัยนายกฯอภิสิทธิ์ที่มีการรุกรานชายแดนทั้งสองประเทศหลายครั้ง ตั้งแต่เราพยายามขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และประเทศไทยคัดค้าน หากไม่มีการรุกรานเราคงขึ้นทะเบียนได้อย่างสันติ และทำให้เกิดการใช้อาวุธในพื้นที่ใกล้เคียงปราสาท และเป็นข้อมูลที่คนไทยต้องทราบซึ่งมีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับ และทำความเสียหายให้กับตัวปราสาท และการเสียชีวิตที่เกิดจากการรุกรานของประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่นำมาสู่ความสนใจของชาวโลก และประเทศไทยทำเหมือนไม่ทราบว่ามีข้อพิพาท แต่เราก็ได้พยายามทำด้านการทูตและท่าทีที่ไม่สอดคล้องของประเทศไทยเราจึงต้องนำกลับไปสู่คำพิพากษาเมื่อปี 1962 และตั้งแต่ปี 2008 ประเทศไทยพยายามลดขอบเขตของความหมายและคำพิพากษา เราจึงต้องนำขึ้นมาอีกครั้ง

ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร หลังจากที่มีการเจรจาให้ถอนทหารตามมาตรการชั่วคราวที่ศาลให้ไว้ก็ไม่เกิดขึ้น ซึ่งระหว่างที่มีการประชุมคณะทำงานร่วมที่ต้องการให้ถอนทหารออกจากเขต ประเทศไทยก็พยายามไม่ทำตามคำสั่งศาล ทำให้ผู้สังเกตการณ์ของอินโดนีเซียต้องถอนกำลังออก และกัมพูชารู้สึกเสียใจที่ไม่เป็นไปตามคำพิพากษา เป็นการแสดงว่าประเทศไทยปรารถนาให้กัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทพระวิหาร รวมทั้งวัดแก้วสิขาราม ถือเป็นการดูหมิ่นและไม่ถูกกฎหมาย ทำให้คิดว่ากัมพูชาก็เอาประชาชนเข้าไปสู่พระวิหาร แต่จริงๆ กัมพูชาอยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชามาตลอด และประเทศไทยก็มีการทำเอ็มโอยู เขตปลอดทหาร

คำให้การของประเทศไทยก็เป็นการพูดซ้ำซาก และดูหมิ่น พยายามที่จะไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาในปี 1962 และมีการพูดถึงแผนที่ที่นำเสนอและคัดค้านสิ่งที่เกี่ยวกับพื้นที่ที่ประเทศไทยยกขึ้นมาโต้แย้ง แต่ความจริงมีอยู่ว่าประเทศไทยไม่รู้จะต่อสู้และท่าทีที่ขัดกันเองของประเทศไทย ทำให้การต่อสู้ล่าช้า ตนอยากอธิบายให้ชัดเจนว่ากัมพูชาไม่ต้องการให้ปักปันเขตแดน 

แต่ต้องการให้ตีความให้ชัดเจนในความหมายที่ต้องการ คือ กัมพูชาเป็นประเทศที่มีอธิปไตยในปราสาทตามที่มีระบุไว้ในภาคผนวก 1 ทำให้มีพันธกรณีที่ประเทศไทยต้องนำกำลังทหารออกจากเขตพื้นที่นี้ กัมพูชาต้องการให้ศาลพิจารณาไม่แค่วงรอบที่เกิดขึ้น แต่เป็นสัญลักษณ์ของความสงบ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ 

หากไม่มีการตีความเมื่อมิ.ย. 1962 จะทำให้เราไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างสองประเทศนี้

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์