ปชป.จับตาประชามติแก้รธน.หวั่นรัฐบาลสับขาหลอก

                  ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณี การแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะต้องจับตาการทำประชามติก่อนลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ว่ารัฐบาลจะทำอย่างตรงไปตรงมา อย่าสับขาหลอก เพราะความเคลื่อนไหวของรัฐบาลแม้ระบุว่าจะยึดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลัก แต่ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ว่า รัฐบาลจะทำอย่างตรงไปตรงมา เพราะเห็นได้จากการที่รัฐบาลเริ่มต้นตั้งแต่หลังวันที่ 5 ธ.ค.โดยระบุว่า จะลงมติวาระ 3 ทันทีหลังเปิดประชุมสภาสมัยสามันนิติบัญญัติ แต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วย จากนั้นมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งให้รัฐบาลทำประชามติก่อนลงมติวาระ 3 แต่เมื่อจะทำประชามติ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสนอให้แก้กฎหมายการทำประชามติ เพื่อให้ใช้จำนวนเสียงน้อยลง

                นายองอาจ กล่าวต่อว่า จากนั้นคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาล ได้ออกมายืนยันว่า จะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 165 เพื่อลดคะแนนเสียงประชามติ แต่ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ในฐานะ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกลับให้ข่าวในลักษณะว่า จะมีการเปิดช่องให้สมาชิกรัฐสภาออกกฎหมายเฉพาะในเรื่องนี้ ทั้งนี้เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ประมวลความคิดเห็นของแกนนำรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยแล้ว จึงไม่สามารถวางใจได้ว่า รัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างตรงไปตรงมา จึงเห็นว่ารัฐบาลควรเลือกแนวทางที่ทำให้บ้านเมืองมีปัญหาน้อยที่สุด หากยังพยายามทำให้เกิดสับสนจะเพิ่มปัญหาให้บ้านเมือง

               ส่วนกรณี นายพีรพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงประชามติไม่มีผลผูกมัดต่อสภา แม้จะผ่านหรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า ฝ่ายรัฐบาลเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา หากไม่อยากรับผิดชอบ จึงอยากตั้งคำถามว่า จะทำประชามติทำไม จะเพียงเพื่อให้เป็นตามความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากรัฐบาลยังมีแนวคิดเช่นนี้คิดว่าจะทำประชามติเพื่อให้สูญเปล่า ดังนั้น จะต้องมีความชัดเจนว่า เมื่อประชามติออกมาอย่างไรแล้วให้ยึดตามประชามติ

              “ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทำประชามติ อย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน ไม่คลุมเครือ ไม่พูดกลับไปกลับมา และเมื่อรัฐบาลกำหนดประเด็นในการทำประชามติชัดเจนแล้วว่า จะออกแบบประชามติอย่างไร ทางพรรคประชาธิปัตย์ จะกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวต่อไป และนายกรัฐมนตรี ควรออกมาให้ความชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะถือเป็นผู้นำสูงสุดนอกจากนี้” นายองอาจ กล่าวอีกว่า