สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สรุปบทเรียนปรองเดือด

เหตุการณ์ปรองเดือดในสภาที่ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์บุกขึ้นไปบนบัลลังก์ประธานสภา ทั้งลากเก้าอี้ ฉุดกระชากแขน และขว้างปาเอกสารใส่ 

ยังคงติดอยู่ในใจ ขุนค้อน-นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา 

ผสมโรงกับประเด็นร้อน ทั้งคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ชะลอการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 และร่างพ.ร.บ. ปรองดอง ที่ไม่ว่าตัดสินอย่างไรก็เป็นเป้าโดนถล่มจากการเมือง 2 ขั้ว 

จนเป็นเหตุให้ประธานขุนค้อนต้องเอ่ยปาก ขอเวลาไปทำจิตใจให้ว่าง 

วันนี้เมื่อทุกประเด็นร้อนได้รับการคลี่คลาย ญัตติร้อนทั้งหมดถูกเลื่อน ออกไป นายสมศักดิ์จึงเปิดใจถึงเหตุการณ์ ปรองเดือดที่ผ่านมาไว้ดังนี้ 


มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร 

คน 10 กว่าปีก่อนไม่มีสี ทุกคนมีใจเป็นกลาง ผมก็ทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรทุกวันนี้ เหมือนในปี 2540 แต่ทำไมครั้งนั้นไม่มีเสียงตำหนิผมบ้างเลย 

มาคราวนี้ก็ยังทำหน้าที่เหมือนเดิม แต่กลับมีทั้งเสียงที่ชอบและไม่ชอบ เป็นเพราะการเมืองทุกวันนี้ไม่ปกติ เลยเกิดเหตุการณ์กันอย่างที่เห็น ซึ่งต้องทำใจ

แต่การที่เรายังจิตนิ่งได้ไม่แสดงอาการตอบโต้ เพราะผมฝึกจิตมาเป็นอย่างดี 

ไม่มีใครรู้ว่าผมเคยออกบวชในช่วงหลังเหตุการณ์ปฏิวัติปี 2549 ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม จ.พิษณุโลก ครั้งนั้นมีโอกาสฝึกนั่งสมาธิ วิปัสสนามามากพอสมควร 

มิฉะนั้น ถ้าเป็นใครก็ตามที่อยู่ดีๆ เหมือนถูกตบหัว อารมณ์ก็คงพุ่งปรี๊ดไปก่อนแล้ว 

สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สรุปบทเรียนปรองเดือด

อารมณ์ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร 

ตั้งแต่การแสดงสัญลักษณ์นาซีในสภาที่เป็นประชาธิปไตย ผมก็คิดว่าไม่เหมาะสมแล้ว 

กรณีหาว่าผมทำหน้าที่แบบเผด็จการก็คงไม่ใช่ ทุกอย่างที่ผมทำมีเหตุผลเสมอ ไม่ใช่คิดอยากทำอะไรก็ทำ เรารู้ว่าเราทำอะไรและก็เชื่อมั่นในตัวเราว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว


ผมฟังคำพูดว่า ประธานทำหน้าที่ไม่เป็นกลางมาเป็นร้อยๆ ครั้งแล้ว ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีการถกเถียงกันบ้าง ผมจึงพูดตลอดว่า ขอกันกินยังมากกว่านี้ 

ดังนั้น เรื่องนี้แค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น 

เพราะในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติคงไม่เอาเกียรติศักดิ์ศรีของสถาบันไปเอาเปรียบกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เด็ดขาด และเราก็รู้ตัวว่ามีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่ทำแบบนั้น 

และก็มั่นใจด้วยว่าทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง ไม่ได้เป็นแบบที่เขาพูด จึงไม่ต้องสะทกสะท้านอะไร 


ส.ส.ประชาธิปัตย์ป่วนถึงบัลลังก์ 

เหตุการณ์ส.ส.บุกถึงบัลลังก์นี้ก็เช่นกัน ไม่คิดว่าจะได้เจอ และก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้สภาและตัวเองเสื่อมเสียด้วย เพราะเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา 

มีเหตุอะไรที่เราต้องไปเสียหายหรือด่างพร้อยไปด้วย ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เป็นเรื่องของคนที่มีพฤติกรรมแสดงออกมาให้เห็นต่างหาก 

ใช้อารมณ์และใช้ความรุนแรงต่อประธานสภา แล้วอย่างนี้ประชาชนจะตัดสินใจไม่ได้เลยหรือ 

หรือจะบอกว่าอารมณ์ในสภาที่เกิดขึ้นอาจเริ่มต้นมาจากข้อบังคับที่ว่า ?การวินิจฉัยของประธานเป็นที่สิ้นสุด? ถ้าอย่างนั้นจะเขียนมาให้ผมในฐานะประธานสภาไว้บังคับใช้กันทำไม 

ต่อให้กรรมการให้ใบแดงผิดจริงๆ อย่างไรแล้วบุคคลนั้น ต้องออกจากสนามก่อน ส่วนความผิดของกรรมการก็มาพิจารณากันทีหลัง 

ดังนั้น ถ้าเห็นว่าประธานผิดก็มาชี้แจงแถลงข่าวภายหลังได้ ไม่ใช่มากล่าวหากันลอยๆ และเถียงกันจนวุ่นวายว่าประธานทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง 

หรือจริงๆ แล้วสมาชิกมีเจตนาหาเรื่องกันแน่ ซึ่งไม่เคยมีบอลที่ไหนหรอกพาพวกมาวุ่นวายกลางสนามแบบนี้


ได้รับบทเรียนอะไรบ้าง 

บทเรียนนี้ สำหรับผมไม่ว่าจะไปไหนก็มีแต่คนให้กำลังใจ ตรงกันข้าม เชื่อว่าคนที่กระทำผิดก็ถูกสังคมตัดสินแน่นอนว่า สิ่งใดควรหรือไม่ควร ซึ่งคนที่กระทำก็น่าจะทราบดี 

และหวังว่าเขาคงจะไม่เป็นแบบนี้อีกเหมือนกัน 


ยอมถอย 2 ประเด็นร้อนในสมัยประชุมนี้

จริงๆ แล้วผมยืนยันและทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายมาโดยตลอดว่า ไม่อยากให้มีการผลักดันลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ยกเว้นส.ส. เพราะผมได้เข้าร่วมประชุมพรรคเพื่อไทยด้วย 

สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สรุปบทเรียนปรองเดือด

แต่กระแสจากพรรค กรรมการยุทธศาสตร์พรรค บ้าน 111 คนเสื้อแดง กลับต้องการเร่งทั้ง 2 เรื่องนี้ทันที 

ผมก็ใช้เวลาไตร่ตรองกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบมากที่สุด พร้อมทำความเข้าใจกับผู้มีอำนาจในพรรคและนายกฯ ซึ่งเห็นด้วยกับการที่ผมตัดสินใจเลื่อนพิจารณาทั้ง 2 ประเด็นนี้ออกไปก่อน

ขณะที่ก็มีกระแสเสียงถามว่า ได้รับคำแนะนำหรือคำสั่ง จากดูไบหรือเปล่า ทั้งที่ข้อเท็จจริงคนที่อยู่ไกลข้อมูลจะเอาอะไรมาสั่ง 

เรื่องนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีแต่ให้เกียรติในการตัดสินใจเพราะเราอยู่ใกล้ข้อมูล 

ส่วนผมถ้าจะมีการปรึกษาบ้างจริงๆ ส่วนใหญ่จะหารือผ่านกลุ่มผู้ใหญ่ในพรรค ถ้าเห็นชอบด้วยกับสิ่งที่ผมทำ ก็จบแล้ว 


การตัดสินใจแก้ปัญหายึดหลักใด 

หลักการที่ผมใช้เสมอคือ ต้องเอาตัวตนของเราออกไปก่อน แล้วจึงจะสามารถทำเพื่อผลประโยชน์แก่ประเทศชาติได้มากที่สุด โดยไม่มีใครจะต้องมาเสียเลือดเนื้ออีก 

ขณะเดียวกัน เราก็ใช้ตัวตนของเราที่แท้จริงมาทำความเข้าใจกับพรรค แม้อาจไม่ตอบโจทย์นโยบายพรรคสักเท่าไร แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อยมาตัดสินใจกันจะว่าอย่างไร

ไม่เว้นแม้แต่แนวความคิดที่สวนทางกับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ชะลอการลงมติวาระ 3 ที่ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่ก็พร้อมเคารพด้วยการยอมถอย 1 ก้าวก่อน เพราะการจะสร้างความปรองดองกันได้ ทุกฝ่ายก็ต้องถอยคนละก้าวด้วย 

เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญคงมีความคิดไม่ต่างกับผมในการใช้ดุลพินิจที่ควรถอยลงมาก้าวหนึ่งเช่นกัน 

และคิดว่าถ้าศาลเลือกได้คงไม่อยากให้คนไทยฆ่ากันเองอีกเหมือนอย่างที่ผมคิด เพราะขณะนี้แค่ความเห็นก็ยังมองต่างมุมกันแล้ว 

การใช้ดุลพินิจของศาลที่ดีจึงไม่ควรสร้างความขัดแย้งกับคนในชาติอีก แต่ต้องทำให้คนไทยมีความสุข 


ส.ส.เพื่อไทยบางคนรับไม่ได้และออกมาขับไล่ 

ไม่ใช่ผมยอมถอย เพราะขี้ขลาด เหมือนอย่างที่ส.ส.ในพรรคเดียวกันกล่าวไว้หรอกนะ 

ถ้าผมขี้ขลาดจริง ผมต้องให้มีการลงมติวาระ 3 แล้วสิ เผือกร้อนจะได้หลุดจากมือผมไปสักที แต่นี่ ผมกลับอาสาอุ้มเผือกร้อนต่อไป แล้วสิ่งนี้คือความขี้ขลาดหรือเป็นความกล้ากันแน่

ฉะนั้นคนที่มองการเมืองยังไม่ลึกพอ บอกว่าผมขี้ขลาดน่ะ ไม่ใช่แล้ว 

แต่เรื่องที่มองต่างมุมจริงๆ คือประเด็นร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ที่เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยให้มีการปรองดอง จนมีการเสนอขอเข้าสู่ระเบียบวาระ ผมก็เพียงบรรจุวาระให้ 

เพราะถ้าผมไม่ทำก็จะกลายเป็นคำถามว่าล่าช้า แต่เมื่อผมทำตามขั้นตอนก็มองว่าเร่งรีบนำเข้าสู่สภา ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ถูกมองว่าผิดอยู่ดี 

และถึงแม้ผมจะเห็นคัดค้านกับทางพรรคในการนำเข้าร่างพ.ร.บ.ปรองดองเหล่านี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะทางพรรคได้เสนอเข้ามาจะให้ทำอย่างไร

รวมไปถึงเรื่องญัตติคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทางสภาหรือไม่นั้น ซึ่งกว่าจะเปิดสมัยประชุมหน้าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญก็คงมีผลออกมาแล้ว 

จึงเป็นสาเหตุที่พยายามผลักดันเรื่องนี้ เพื่อให้รัฐสภาได้บันทึกไว้ว่าไม่เห็นชอบกับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ผูกพันกับรัฐสภานั่นเอง แต่ญัตติก็ได้ตกไปเพราะที่ประชุมโหวตเสียงแล้วไม่อนุญาต เพราะขาดไป 5 เสียง 


สรุปบทเรียนที่เกิดขึ้นอย่างไร 

การมองต่างจากพรรคไม่ได้หมายความว่าเป็นเหตุทำให้เราแตกแยก ผมพูดมาตลอดว่าเป็นเรื่องสีสันในระบอบประชาธิปไตยที่ดี 


กับหน้าที่ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ

ผมจะทำหน้าที่ในสิ่งที่ถูกต้องอย่างเดิม เขาจะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าโดนตำหนิจากสังคมเช่นนี้ยังจะทำผิดซ้ำอีก ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

ตัวเราทำหน้าที่อย่างเป็นกลางไว้ก็พอแล้ว ใช้เหตุและผลกับทุกเรื่องเสมอ จะไปปิดปากห้ามใครพูดก็คงไม่ได้อยู่แล้ว 

ส่วนการเอาเรื่องอะไรใครเพื่อให้สภาดูมีความเคร่งครัดนั้น ผมยังไม่คิด เพราะถ้าคิดคงแจ้งความไปนานแล้ว 

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์