“สดศรี” ชี้กรณีเงินบริจาคของ ปชป. ไม่ใช่อำนาจของนายทะเบียน

“สดศรี” ชี้กรณีเงินบริจาคของ ปชป. ไม่ใช่อำนาจของนายทะเบียน

กกต. 24 พ.ค. - “สดศรี”  เผยที่ประชุม กกต. หารือกรณีเงินบริจาค 1 ล้านของ ปชป.

แต่เห็นว่าไม่น่าจะเป็นอำนาจของนายทะเบียน อ้างยังไม่ชัดเจนเข้าข่ายยุบพรรค เว้นแต่เป็นเรื่องการไม่รายงานรายรับรายจ่าย  จึงพิจารณาเพื่อลงมติได้  ส่วนดอกผลที่ ปชป.ได้รับนั้นต้องดูว่าส่งให้สำนักนายกฯ หมดหรือไม่

นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า
 
ในการประชุม กกต.ช่วงเช้าวันนี้ (24 พ.ค.) มีการพูดคุยกรณีคำร้องของนายเรืองไกร  ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ที่ขอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์กรณีการรับบริจาคเงิน 1 ล้านบาท จากบริษัท อีสต์วอร์ดติร์ จำกัด  (มหาชน)  ว่าไม่ควรเป็นอำนาจพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมือง เพราะยังไม่ชัดเจนว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นการรับบริจาคเงินที่ผิดกฎหมายมีเหตุต้องยุบพรรค ดังนั้นเมื่อคณะกรรมการไต่สวนได้ข้อสรุป ก็จะมีการนำเรื่องเสนอให้ที่ประชุม กกต.พิจารณา  หากที่ประชุม  กกต.มีมติเห็นว่าเป็นเรื่องของการรับบริจาคเงินผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคจึงค่อยเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนฯ ไปดำเนินการ แต่หากเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับเรื่องการไม่รายงานรายรับรายจ่ายตามที่ พ.ร.บ.พรรคการเมืองกำหนดไว้  กกต.ก็จะเป็นอำนาจของ กกต.พิจารณาเพื่อนำไปสู่การลงลงมติได้

นางสดศรี กล่าวด้วยว่า หากพิจารณาตามคำร้องของนายเรืองไกร จะเป็นกรณีที่ว่าการรับบริจาคเงิน 1 ล้าน ของพรรคประชาธิปัตย์เป็นการรับบริจาคแฝง
 
ไม่ใช่การรับบริจาคเพื่อไปช่วยเหลือน้ำท่วม  ซึ่งตรงนี้คณะกรรมการไต่สวนมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าบริษัทอีสต์ วอร์เตอร์ฯ เป็นบริษัทที่รัฐถือหุ้นใหญ่  หนึ่งในสามของผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่ต้องห้ามการบริจาคเงินเข้าพรรคการเมืองตามมาตรา 71  พ.ร.บ.พรรคการเมืองหรือไม่  และเงิน 1 ล้านบาทนั้น ถือเป็นเงินบริจาคให้กับพรรคการเมืองหรือไม่ รวมถึงถ้าบริษัทอีสต์ วอร์เตอร์ฯ ประสงค์ที่จะบริจาคเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม  เหตุใดถึงไม่ไปบริจาคเข้าบัญชีของสำนักนายกรัฐมนตรี เหตุใดจึงต้องมาฝากผ่านบัญชีพรรคประชาธิปัตย์ และตามข้อบังคับมีการระบุหรือไม่ว่าเงินบริจาคสามารถนำมาพักไว้ในบัญชีของพรรคได้ รวมถึงผู้บริจาคทั้ง 191 ราย ที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันหรือไม่

“เรื่องนี้ต้องดูเจตนารมณ์ของผู้ให้และผู้รับ ผู้ให้มีเจตนาที่จะส่งพรรค หรือมีเจตนาที่จะส่งผ่านพรรค คณะกรรมการไต่สวนจะต้องชัดเจนเสียก่อน จึงจะพูดได้ว่าเป็นเงินบริจาคหรือไม่ ขณะนี้ทราบว่าคณะกรรมการไต่สวนกำลังเรียกเอกสารจากทั้งบริษัทและพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงมีหนังสือเชิญูผู้บริหารบริษัทอีสต์วอร์เตอร์มาให้ถ้อยคำ เชื่อว่าการพิจารณาคงไม่นาน เพราะข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ได้ซับซ้อนยุ่งยากเหมือนคดีพรรคประชาธิปัตย์ รับเงินบริจาค 258 ล้านจาก บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด  (มหาชน)” นายสดศรี กล่าว

เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าเป็นคนกลางในการรับเงินและส่งต่อเงินที่ได้รับบริจาคไปที่สำนักนายกฯ
 
โดยมีช่วงที่เงินพักอยู่ในบัญชีของพรรคประชาธิปัตย์ 1 เดือน  ดอกผลที่ได้รับถือเป็นเงินบริจาคหรือไม่  นางสดศรี กล่าวว่า ต้องดูว่าเงินที่พรรคส่งให้สำนักนายกฯ นั้นเป็นการส่งทั้งต้นและดอกหรือไม่  หากส่งแต่ต้นไม่ส่งดอกเบี้ย ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถือเป็นเงินบริจาคหรือเป็นรายได้อื่น ซึ่งต้องมีการมาตีความกัน เพราะเป็นเรื่องของความเห็นที่อาจจะแตกต่างกัน ขนาดตุลาการยังเห็นไม่ตรงกัน แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นตามกฎหมายบัญญัติว่า ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาค รายรับ รายจ่าย พรรคมีหน้าที่ที่จะต้อจัดทำเป็นบัญชีงบดุลแต่ละปียื่นต่อ กกต.ว่ามีรายรับเท่าไร รายจ่ายเท่าไร แม้แต่บัญชีเงินฝากจะต้องรายงานว่ามีเงินอยู่ในบัญชีเท่าไร มีการเบิกถอนไปใช้ในเรื่องใด ซึ่งจากรายงานบัญชีงบดุลปี 53-54 ที่แจ้งต่อ กกต.ไม่พบว่าพรรคมีรายรับจากบริษัทอีสต์เวอร์เตอร์ฯ

“กกต.เป็นผู้กำกับกฎหมายดูแลการทำงานของพรรคการเมือง ฉะนั้นอะไรที่เกิดขึ้นกับพรรคถ้าไม่ใช่เรื่องลับก็คงรายงานให้ กกต.ทราบ กรณีนี้พรรคประชาธิปัตย์บอกว่า ไม่ได้เป็นรายรับของพรรค เพราะพรรคเป็นคนกลางที่จะนำเงินที่ได้รับบริจาคส่งให้กับสำนักนายกฯ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จะต้องบอกเหตุผลให้ได้ว่าแล้วทำไมเงินจึงต้องมาพักไว้ในบัญชีของพรรค  และข้อบังคับของพรรคระบุไว้ให้สามารถทำได้หรือไม่” นางสดศรี กล่าว.- สำนักข่าวไทย

เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์