ซึ่งเป็นครั้งแรกหลังจากมีการประกาศควบคุมอำนาจบริหารประเทศ ว่า ที่ประชุม มีมติให้แต่ละองค์กรฯ กลับไปจัดทำแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นการค้า การลงทุนกลับคืนสู่ประเทศ ด้วยการรวบรวมแนวคิดและมาตรการต่างๆ ทั้งในแผนระยะสั้น และระยะยาว 15 - 20 ปีที่จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ จากนั้นจะนำแผนหารือข้อสรุปในแต่ละองค์กรกลับมาหารือร่วมกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นมาตรการในภาพรวมของ 7 องค์กร และเตรียมนำเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อไป
ด้าน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะเลขาธิการที่ประชุมร่วม 7 องค์กรภาคธุรกิจ กล่าวว่า
เอกชนเห็นว่า ขณะนี้การหารือทั้ง 7 กรอบแนวทาง ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เอกชนต้องการช่วยเหลือประเทศไทยในการเปลี่ยนแปลง สู่ความเข้มแข็งของสังคมและเศรษฐกิจโดยหลังจากมีข้อสรุปแล้วจะทำการเปิดเผยอีกครั้งก่อนนำเสนอ คสช.
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การหารือของ 7 องค์กรภาคธุรกิจครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางว่าภาคธุรกิจจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างไร เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมองแนวทางการฟื้นฟูไว้ 7 ด้าน ได้แก่
1.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
2.การปฏิรูปการลงทุนของภาครัฐและเอกชน
3.การยกระดับการศึกษาและนวัตกรรม
4.การแก้ปัญหาสังคมและความเหลื่อมล้ำ
5.ธรรมาภิบาลและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น
6.การพัฒนาระเบียบต่าง ๆ ของภาครัฐ
และ 7.การพัฒนาโครงสร้างใหม่ในระบบเศรษฐกิจไทย
โดยแต่ละองค์กร จะกลับไปหารือภายในว่าแต่ละแห่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับแต่ละด้านอย่างไร จะมีแผนฟื้นฟูทั้งระยะสั้นและยาวของแต่ละด้านอย่างไร
จากนั้น จะนำกลับมาหารือกันภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อสรุปเป็นแผนรวมที่เสนอให้ คสช. สามารถนำไปปฏิบัติได้เลย ซึ่งเชื่อว่าหาก คสช. ดำเนินการตามที่เสนอจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ โดยในส่วนที่เป็นแผนระยะยาวนั้น ต้องการให้นำไปอยู่ในแผนพัฒนาประเทศของสภาพัฒน์ พร้อมมองว่า ในวิกฤตครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ คสช. เปิดให้เสนอสิ่งที่เอกชนต้องการดำเนินการ ส่วนจะพบกับ คสช. อีกเมื่อไร จะรอดูก่อนว่า คสช. จะเรียกไปพบเมื่อไร หากไม่เรียกเราก็จะนำเสนอแผนเข้าไป