นายกรัฐมนตรีจะมาจากไหนกันดี?


ห้วงเวลานี้สภาร่างรัฐธรรมนูญได้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเรียบร้อยไปแล้ว และจะต้องร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 6 เดือน ดังนั้นการออกความคิดความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็นวาระงานอันจำเป็นของเรา เช่นเดียวกับที่เป็นวาระงานอันจำเป็นของนักประชาธิปไตยทั้งประเทศด้วย


เราจึงจำเป็นต้องออกความคิดความเห็น


เพื่อบรรดาคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญและพี่น้องร่วมชาติของเราจะได้ร่วมกันคิดพิจารณา แต่คงจะออกความคิดเห็นเป็นบางเรื่อง บางประเด็น ที่เห็นว่าเป็นแก่นเป็นรากแก้วเป็นเนื้อในของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้

เรื่องแรกที่เราต้องการออกความเห็นคือ จุดยืนหรือนิตbปรัชญาในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ว่าจะยืนอยู่ตรงไหน เพราะหากยืนผิดที่ก็เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องถูกฉีกอีกครั้งหนึ่ง
เรากล่าวหาว่าการร่างรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับที่ผ่านมามีผลประโยชน์อยู่กับกลุ่มอำนาจและกลุ่มทุนในสังคม ไม่ได้มีจุดยืนอยู่กับผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เพราะจุดยืนเช่นนั้น รัฐธรรมนูญหลายฉบับที่ผ่านมาจึงสะท้อนและรองรับอำนาจของคนจำนวนน้อยไม่เป็นประโยชน์ต่อมหาประชาชน และส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศยังต้องยากจน ขาดแคลน และล้าหลังต่อไป

รัฐธรรมนูญปี 2540 แม้ว่าจะดีกว่าหลายฉบับ แต่โดยนิติปรัชญาแล้วยังคงเป็นรัฐธรรมนูญที่จัดว่าเป็นของชนชั้นนักวิชาการ


ไม่เห็นหรือว่าอำนาจทั้งหลายเคลียเคล้า


อยู่กับบรรดานักวิชาการและทำให้นักวิชาการได้มีอำนาจวาสนาขึ้นในบ้านเมืองผิดกว่าแต่ก่อน ไม่เห็นหรือว่าการสรรหากรรมการองค์กรอิสระทั้งหลายและการให้ความเห็นชอบบุคคลในการดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ

ให้ผลว่าคัดเลือกเอาคนของใครมา คนของประชาชนหรือว่าคนของทรราช ไม่เห็นหรือว่านักวิชาการจำนวนมากได้รับการตอบแทนให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีบ้าง ที่ปรึกษารัฐมนตรีบ้าง กรรมการรัฐวิสาหกิจบ้าง และผลประโยชน์อะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะ

นี่แหละที่เขาเรียกว่าชนชั้นใดร่างกฎหมาย ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชนชั้นนั้น ดังนั้นในโอกาสที่จะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เราเรียกร้องให้ทบทวนนิติปรัชญาหรือจุดยืนของรัฐธรรมนูญเป็นปฐม ว่าจะกำหนดให้รัฐธรรมนูญนี้มีจุดยืนหรือมีนิติปรัชญารับใช้ใครกันแน่ เราเรียกร้องให้วางนิติปรัชญาหรือจุดยืนของรัฐธรรมนูญใหม่ให้รับใช้ผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นด้านหลัก

เพื่อการนี้จะต้องยกเลิกบทบัญญัติที่เคยมีมาในลักษณะที่กีดกันหวงห้ามผู้แทนราษฎรไม่ให้เสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน และมีบทบัญญัติระบุให้อำนาจดังกล่าวไว้ตลอดจนกระบวนการใช้อำนาจนี้ในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในทุกภูมิภาคของประเทศ

ทำไมจึงต้องให้การเสนองบประมาณหรือกฎหมายเกี่ยวกับการเงินเป็นเรื่องเฉพาะของข้าราชการและฝ่ายบริหารเท่านั้น? ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ตราบใดที่ผู้แทนราษฎรไม่มีอำนาจเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินก็ทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นเจว็ดที่ได้แต่ยกมือและเป็นบ้าเป็นใบ้เหมือนกับที่เคยผ่านมาเท่านั้น

จะต้องปลดแอกดังกล่าวนี้เสีย


และให้ผู้แทนราษฎรมีอำนาจเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินได้ และมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกระบวนการที่ง่ายและสะดวกในการที่ประชาชนในแต่ละพื้นที่จะเสนอโครงการหรือแผนงานอันจะเป็นที่มาของการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวของผู้แทนราษฎรด้วย เมื่อใดที่ผู้แทนราษฎรและราษฎรมีอำนาจในเรื่องนี้ เขาก็จะมีความผูกพันในเรื่องผลประโยชน์ของชาติ มีความผูกพันในความเป็นชาติ มีความหวงอำนาจอธิปไตยของปวงชน และมีความเป็นประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับไป

ประการที่สอง นายกรัฐมนตรีต้องมาจากไหน?

ประการนี้ดูเหมือนว่ามีการทุ่มเถียงกันโต้แย้งในหลายวงการ และยังหาข้อยุติไม่ได้ พวกหนึ่งก็ว่านายกรัฐมนตรีไม่จำต้องมาจากการเลือกตั้ง พวกหนึ่งก็ว่าต้องมาจากการเลือกตั้ง มิหนำซ้ำยังขู่อีกว่าประชาธิปไตยไทยพัฒนามามากแล้ว หากนายกรัฐมนตรีไม่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นการล้าหลังถอยเข้าคลองและจะต้องเกิดเรื่องแน่

เป็นการถกเถียงกันในเรื่องที่ไม่เข้าท่าและไม่มีรากฐานของความจริงในการถกเถียงทั้งสองทาง เป็นการถกเถียงกันในเรื่องที่ไม่ยอมรับความจริงที่เป็นจริงในประเทศไทยของเราเพราะรัฐธรรมนูญทุกฉบับไม่เคยมีบทบัญญัติให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งหรือไม่มาจากการเลือกตั้ง เราไม่เคยมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีดังที่โต้เถียงกันเลย


จึงเป็นการถกเถียงกันในเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ


และโมเมหมกเม็ดกันทั้งสิ้น ของจริงก็คือนายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ต่างหาก

เราเรียกร้องให้ทุกคนยอมรับความจริงของสภาพปัญหาดังกล่าวว่าไม่ใช่ปัญหานายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นปัญหาว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากผู้แทนราษฎรหรือไม่ อย่างนี้แล้วก็จะเห็นภาพชัด

ต่อปัญหานี้ เราอยากจะชี้ให้ดูรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่เคยมีมาในประเทศไทยก็จะพบว่ารัฐธรรมนูญหลายฉบับเคยมีบทบัญญัติให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากผู้แทนราษฎร และอีกหลายฉบับก็ไม่จำกัดว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากผู้แทนราษฎร

นายกรัฐมนตรีบางคนที่ไม่ได้มาจากผู้แทนราษฎร เช่น พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ก็เคยกอบกู้ชาติบ้านเมือง ทั้งจากปัญหาศึกสงครามและจากปัญหาเศรษฐกิจ และมีความซื่อสัตย์สุจริตชัดเจน เป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนทั้งปวง

นายกรัฐมนตรีบางคนที่มาจากผู้แทนราษฎรซึ่งไม่อยากจะออกชื่อให้เป็นเสนียดบ้านจัญไรเมือง ก็เป็นคนชั่วช้าสามานย์ โกงบ้านกินเมือง โกงถนนหนทาง โกงประปา โกงบาดาล โกงมันสารพัด บางคนที่หนักหนาสาหัสก็ชั่วช้าถึงขนาดคิดล้มล้างสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถึงขนาดทำให้ชาติบ้านเมืองล่มจมก็เห็น ๆ กันแล้ว


ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจะมาจากผู้แทนราษฎรหรือไม่มาจากผู้แทนราษฎร


จึงไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ตัดสินว่าจะเป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน มีความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินแต่ประการใดเลย

เราจะต้องสรุปบทเรียนดังกล่าวนี้ให้ชัดเจนว่าประชาธิปไตยจะรุ่งเรืองก้าวหน้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่านายกรัฐมนตรีมาจากผู้แทนราษฎรหรือไม่

แต่อยู่กับว่าเป็นคนดีมีความสัตย์สุจริต มีประสิทธิภาพและความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินหรือไม่

แล้วเรื่องอะไรที่จะไปปิดกั้นหรือบังคับตัดสิทธิ์ลิดรอนคนทั้งประเทศว่าเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เว้นก็แต่ผู้ที่เป็นผู้แทนราษฎร

เราจึงเห็นว่าในประการนี้ไม่สมควรที่จะตีกรอบจำกัดสิทธิ์ของประชาชนไทยทั้งประเทศในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั่นคือต้องไม่มีบทบัญญัติบังคับว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากผู้แทนราษฎรเท่านั้น

แต่ทว่าประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยพึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้ล่วงหน้าว่าใครหรือพรรคไหนจะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาในการเลือกตั้ง

ถ้าจะให้ดีก็ต้องประกาศคนที่จะสนับสนุนให้เป็นรัฐมนตรีด้วยดังนี้แล้วทุกอย่างก็จะโปร่งใส ประชาชนก็จะมีข้อมูลในการตัดสินใจและทำให้บุคคลที่ถูกระบุว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีได้รับการตรวจสอบจากมหาชนเสียชั้นหนึ่งด้วย.

ขอขอบคุณ


ข้อมูลที่มีคุณภาพ
จาก หนังสือพิมพ์ผ้จัดการ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์