ยิ่งลักษณ์เข้าเกียร์ จับตาพฤษภาคม ปรับอีกรอบปู 3

ยิ่งลักษณ์เข้าเกียร์ จับตาพฤษภาคม ปรับอีกรอบปู 3

ผ่านมาเวลาบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมา 6 เดือน

และผ่านการจัดคนที่จะมาร่วมทำงานแบบ "ขอเลือกเอง" ไม่ว่าจะเป็นการปรับ ครม.ชุดใหญ่ หรือการเปลี่ยนแปลงตัวเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ล้วนเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ถึงวันนี้ความมั่นใจและบารมีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขยับสูงขึ้นไปใกล้ระดับของความเป็น "ผู้นำรัฐบาลตัวจริง" มากขึ้นทุกขณะ

เป็นผู้นำรัฐบาลที่รู้ถึงจุดแข็งจุดอ่อนตัวเองอย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งว่า

ถ้าเรื่องพูด สู้คนอื่นไม่ได้

แต่เรื่องทำ พร้อมกล้าท้าพิสูจน์


สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงมีการประชุมเชิงปฏิบัติการตามประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญ โดยนายกรัฐมนตรีเข้ามานั่งเป็นประธาน

มีการนำนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่แถลงต่อที่ประชุมสภารวม 16 ข้อแปลงเป็น 10 ยุทธศาสตร์ เพื่อผลักดันโครงการต่างๆ ให้ออกมาเป็นรูปธรรมให้ได้ภายในปีงบประมาณ 2556

ยุทธศาสตร์ทั้ง 10 ที่ต้องการผลักดันประกอบด้วย

การนำสันติสุขสู่ชายแดนใต้, ระบบการคมนาคมขนส่ง, หลักประกันสุขภาพ, ครัวไทยสู่ครัวโลก, อาหารฮาลาล

ไวไฟฟรี, โครงสร้างราคาพลังงาน, โครงสร้างการจัดทำบัตรเครดิตเกษตรกรและบัตรเครดิตพลังงาน, พลังงานทดแทน และการเพิ่มผลผลิตเอสเอ็มอี

เป็น 10 ยุทธศาสตร์ที่ต้องตามมาติดๆ หลังจาก 3 ภารกิจหลัก อันได้แก่การป้องกันอุทกภัยครั้งใหม่ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ เดินหน้าไปก่อนแล้ว

น่าสนใจที่ช่วงเวลาของการ "ขันนอต" เร่งงานนั้น พ้องพานกับอีกเหตุการณ์หนึ่งโดยมิได้นัดหมาย

เหตุการณ์การให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดจากแดนไกลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีเงายิ่งกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ไม่เพียงแต่พูดถึงปัญหาหลักๆ ของประเทศที่ต้องลงมือทำหรือแก้ไขโดยด่วนอย่างเรื่องการจัดการน้ำท่วมน้ำแล้ง

โครงการรถไฟความเร็วสูงและการขนส่งระบบราง การแก้ไขปัญหาระบบราชการโดยเฉพาะการซื้อขายตำแหน่ง การแก้ไขกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ ฯลฯ เท่านั้น

แต่ยังพูดถึงปัญหาการเมืองอย่างตรงไปตรงมาด้วยว่า

"พรรคเพื่อไทยถูกยุบมา 2 รอบ บุคลากรทางการเมืองก็ลดน้อยลง ถ้า 111 ออกมาก็จะมีคนมาช่วยผลักดันนโยบายต่างๆ ให้คล่องขึ้น

"ต้องยอมรับว่านายกฯขยัน จับประเด็นงานเก่ง แต่มือไม้ต้องฟิตด้วย ตอนนี้มือไม้ก็เริ่มฟิตขึ้นบ้างแล้ว"


เมื่อถูกถามว่าหมายถึงต้องปรับ ครม. หรือไม่

"ฟังนายกฯก็ไม่ปรับเร็วมั้งเพราะว่าไปด้วยกันได้ดี อาจให้เป็นที่ปรึกษา หรือช่วยงานอย่างเปิดเผยได้บ้างเพราะไม่ผิดกฎหมายแล้ว คงไม่ได้เปลี่ยนรัฐมนตรีทั้งหมด"

เมื่อถามว่าประเมินแล้ว ครม.ชุดนี้ อ่อนสังคมหรือเศรษฐกิจ

พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า ต้องเสริมทุกอย่าง

"เพราะ 6 ปีมานี้ประเทศไทยอ่อนลงไปเยอะ ที่สำคัญคือต้องทำงานร่วมกันทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ

"ต้องดูใจให้ข้าราชการประจำทำงานร่วมกันให้ได้ เพราะข้าราชการมีข้อมูล มีความต่อเนื่องของการแก้ปัญหา ต้องไปด้วยกัน"

ใครจับสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็แปลก

ฉะนั้น ช่วงระยะเวลา 3 เดือนก่อนที่ "บ้านเลขที่ 111" จะกลับคืนสู่ตำแหน่งทางการเมืองได้

และมีอาการบ่งชี้ว่า "ขาใหญ่" ทั้งนอกพรรคอย่างนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายสนธยา คุณปลื้ม หรือคนในพรรคอีกบางคนพร้อมจะเข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาลแล้ว

บรรดารัฐมนตรีเจ้าของตำแหน่งทั้งหลายที่ประสงค์จะดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไป ต่างมีภาระหน้าที่ที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักหน่วงและเข้มข้น

เพราะคนที่ยืนกำกับเส้นอยู่ข้างสนามอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ วันนี้มิใช่ "นายกรัฐมนตรีมือใหม่" อีกต่อไป

แต่เป็นนายกรัฐมนตรีที่รู้ความต้องการของตนเอง

และยึดกุมหลักการไว้อย่างแน่นเหนียวว่า

ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเสถียรภาพของรัฐบาลจะหนักแน่นมั่นคงหรือไม่

ไม่มีอะไรอื่นรับประกันได้ นอกจากผลงานที่เป็นรูปธรรม

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์