กรณ์จวกรัฐจัดงบไม่ตามที่หาเสียงไว้

กรณ์จวกรัฐจัดงบไม่ตามที่หาเสียงไว้


สภาฯ โหวตผ่าน งบฯ มาตรา 7 กระทรวงการคลังแล้ว “กรณ์”อภิปรายปรับลดงบ จวกรัฐบาลไม่ได้จัดงบตามที่หาเสียงไว้ ด้าน “วรงค์” ชี้ รัฐบาลตั้ง “ผอ.สคร.” เป็นคนไม่เหมาะสม

วันที่ 6 ม.ค.55  การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่พิจารณาร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2555 ในวันที่ 3 ได้เริ่มประชุม ในเวลา 09.00 น. และพิจารณาในมาตรา 7 งบประมาณในส่วนของกระทรวงการคลัง ที่กรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ พ.ศ. 2555  เสียงข้างมากมีมติให้เพิ่มงบประมาณส่วนดังกล่าว เป็น 191,415 ล้านบาท จากเดิมที่หน่วยงานเสนอขอ 190,981 ล้านบาท


 โดยนายณัฐพล ทีปสุวรรณ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่าการที่ตนขอตัด 8 เปอร์เซ็นต์ เพราะเห็นว่าการบริหารของกระทรวงการคลัง มีความไม่โปร่งใส ขาดธรรมาภิบาล และผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้อื่น จะเห็นได้จากการแต่งตั้งบุคคลที่ไม่เหมาะสมเข้ามาทำงาน ตัวอย่างในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการพัฒนาและเพิ่มมูลค่ารัฐวิสาหกิจ ซึ่งกฎหมายมีการแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติของกรรมการ ระบุว่าต้องมีคุณวุฒิและประสบการณ์ที่เหมาะสม แต่บิรัษท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) ได้แต่งตั้งบุคคลที่มีประวัติและมีพฤติกรรมคุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อมาเป็นกรรมาการอิสระและกรรมการธรรมาภิบาล ซึ่งตนมองว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือของประชาชน นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายหรือผลประโยชน์ที่พรรคพวกตัวเองอาจจะได้ หากมีการบริหารเช่นนี้ ความเชื่อมั่นในองค์กรใหญ่ๆ จะขาดหายไป”นายณัฐพล กล่าว
     
นายณัฐพล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เมื่อไม่นานมานี้มีการแต่งตั้งผู้บริหาระดับสูงของธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีทั้งหมด 5 คน แต่มีหนึ่งคนที่อายุน้อย และไม่มี่คุณสมบัติและประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้ ทั้งที่หน้าที่สำคัญคือการอนุมัติเงินกู้ และต้องเป็นผู้รับนโยบายจากแบงค์ชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดดอกเบี้ยเงินกู้ ที่ตอนนี้ธนาคารกรุงไทยยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยช่วยผู้ประสบภัยเลย สิ่งนี้คือการโจรกรรมทางด้านเศรษฐกิจ ถามว่าผลประโยชน์ในการแต่งตั้งบุคคลทั้ง 2 อยู่ที่ใคร
     
นายกรณ์ อภิปรายว่าตนเสนอตัดลดงบประมาณในกระทรวงการคลังลง 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะการจัดสรรงบฯ ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ตรงกับความต้องการของประเทศและประชาชน โดยมีข้อสังเกต 6ประเด็น ได้แก่

1.การจัดสรรงบในการบริหารหนี้สาธารณะของรัฐบาลเป็นไปอย่างจำกัด คือ ในปี 2555 มีเพียง 1,400 ล้านบาทเพื่อชำระเงินต้นที่เป็นภาระหนี้ของประชาชน ซึ่งถือว่าน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านๆ มา เช่นปี 2554 ตั้งไว้ 2.3แสนล้านบาท นำไปชำระดอกเบี้ย 1.7 แสนล้านบาท รวมถึงคืนเงินต้นจำนวน 5.2 หมื่นล้านบาท , ปี 2553 จัดงบเพื่อชำระดอกเบี้ย ประมาณ 1.58 แสนล้านบาท และคืนเงินต้น 4หมื่นล้านบาท และในปี 2552 รัฐบาลได้จัดงบชำระต้น จำนวน 5 หมื่นล้าน
     
“ผมเห็นข่าว เรื่อง กู้เงินเพิ่มเติมโดยออก พ.ร.ก.เงินกู้ 3-4 ฉบับ ผมกังวลว่าจะกลายเป็นปัญหาว่า หากหนี้ที่มีอยู่ปัจจุบัน ไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อชดใช้หนี้ได้ แต่ยังคิดจะเพิ่มหนี้สาธารณะอีกนับล้านล้านบาท แล้วจะนำเงินส่วนใดมาชำระหนี้ของประชาชน หรือจัดการความเสี่ยงของประชาชน และประเทศชาติ” นายกรณ์กล่าว
     
2.การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ที่ขณะนี้พบว่าประชาชนยังใช้บริการเงินกู้นอกระบบ ดอกเบี้ยสูง เพราะไม่สามารถเข้าถึงการบริหารของธนาคารพาณิชย์ และไม่สามารถรอการช่วยเหลือจากรัฐบาลได้  ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ตั้งสถาบันพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินของประชาชนทุกระดับได้อย่างเป็นธรรม ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดสรรงบประมาณให้สถาบันฯ ดังกล่าวหรือไม่ ที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ว่า หากชนะเลือกตั้งพักหนี้ 5 แสนบาทให้ประชาชนทุกคน แต่ปัจจุบันนี้โครงการดังกล่าวไม่มีความชัดเจน 
     
3. ในส่วนของกองทุนเงินออมแห่งชาติ ที่ล่าสุดได้ให้งบประมาณไว้เพียง 225 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องจัดสรรให้ 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2555 ที่ทำขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดสรรงบเพื่อตั้งกองทุนดังกล่าว จำนวน 2,000 ล้านบาท แต่ถูกตัดออกทั้งหมด  แต่ล่าสุดกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาจัดสรรงบให้เพียง 225 ล้านบาท ซึ่งตนมั่นใจว่าการกระทำดังกล่าวนั้นขัดต่อกฎหมายอย่างแน่นอน เพราะในมาตรา 66 ของบทเฉพาะการของ พ.ร.บ.ดังกล่าว ระบุไว้ว่าวาระเริ่มแรกให้รัฐบาลจัดเงินเข้าบัญชีเงินกองกลาง ตามมาตรา 46 (3) จำนวน 1,000 ล้านบาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของกองทุน, มาตรา 67 กำหนดให้จัดตั้งคณะกรรมการกองทุน ภายใน 90 วันหลังกฎหมายบังคับใช้ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอการแต่งตั้งเลขาธิการกองทุนฯ  ซึ่งได้มีการเสนอชื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว แต่ยังไม่มีการแต่งตั้ง ซึ่งถือว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย 
     
 “ที่ผ่านมากระทรวงการคลัง ทำโครงการเรื่องรถยนต์คันแรก ได้งบประมาณทำประชาสัมพันธ์ 100 ล้านบาท  ซึ่งถือว่ามากเกือบครึ่งหนึ่งของงบประมาณที่ใช้จัดตั้งกองทุนเงินออมแห่งชาติ ทั้งที่โครงการรถยนต์คันแรกมีกลุ่มเป้าหมายเพียง 1แสนคนซึ่งไม่ใช่คนจน ซึ่งถือว่าน้อยกว่ากลุ่มเป้าหมายของโครงการกองทุนเงินออมแห่งชาติ ที่มีอยู่ถึง 30 ล้านคนที่จำเป็นต้องรับรู้ถึงสิทธิของตนเองในการเข้าร่วมโครงการดังกล่าว” นายกรณ์ กล่าว
     
4. รัฐบาลได้ปฏิเสธที่สานต่อการพัฒนาระบบจัดเก็บภาษีที่ดินที่เป็นธรรมกับประชาชนทุกระดับ ที่ทำโดยกรมธนารักษ์ ในการรวบรวมโฉนดที่ดินทั่วประเทศลงในระบบดิจิตอล เพื่อประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง,

5. รัฐบาลไม่ได้ดำเนินการตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ว่าจะมีการลดหย่อนภาษี ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นการที่ดีแต่พูด ซึ่งขาดการมีบทกฎหมายมารองรับคำพูดดักงล่าว 

6. กระทรวงการคลัง ไม่ได้ดูแลการลดค่าครองชีพของประชาชน  โดยเฉพาะการลดอัตราหน่วยค่าไฟฟ้า ที่ประชาชนต้องได้รับการงดเว้นการชำระ จาก 90 หน่วย เป็น 50 หน่วยโดยไม่คำนึงว่าประชาชนที่มีฐานะยากจนกว่า 4 ล้านครัวเรือนจะได้รับความเดือดร้อน 
     
ค่าครองชีพของประชาชนขณะนี้สูงกว่าตอนแรกที่รัฐบาลประกาศนโยบายลดค่าครองชีพ โดยในกลางเดือนมกราคมนี้ รัฐบาลจะเลิกนโยนบายรถไฟ และรถเมล์ฟรี ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา เคยพูดเปรียบเทียบว่า หากยกเลิกโครงการรถยนต์คันแรกออกไป แล้วนะเม็ดเงินส่วนนั้นมาใช้ทำอย่างอื่น เช่น ทำโครงการรถไฟ และ รถเมล์ฟรี เชื่อว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายประชาชนไปได้ถึง 7 ปีเต็ม ทั้งนี้ตนเป็นห่วงว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง กังวลว่าแนวคิดที่เป็นเพียงทฤษฎี ซึ่งไม่ผ่านการลงพื้นที่ จะไม่เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชน” นายกรณ์ อภิปราย
     
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายขอตัดงบในส่วนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)  เพราะละเลยการดูแลหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการแต่งตั้งบุคคลที่ไม่เหมาะสมมาเป็นผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะองค์การคลังสินค้า (อคส.) ที่มีหน้าที่สำคัญในการดูแลโครงการรับจำนำข่าว มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท แต่กลับบุคคลที่เกี่ยวพันกับคดีไอ้ปี๊ด หรือ ดาบยิ้ม มาเป็นผู้อำนวยการ ทั้งที่ไม่มีความรู้ที่เกี่ยวข้องและตรงตามคุณสมบัติที่ระเบียบกำหนด 
     
“จากการตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวกับ ผอ.อคส.คนนี้ มีประสบการณ์เป็นที่ปรึกษาในบริษัทที่มีรายได้ใม่ถึง 200 ล้านบาท ไม่ใช่องค์กรขนาดใหญ่ อีกทั้งบางบริษัทก็ยังไม่มีประวัติในทะเบียนของกระทรวงพาณิชย์ จึงขอเรียกร้องให้ กมธ.ถาม สคร.ที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และการแต่งตั้งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจต่างๆด้วย” นพ.วรงค์ อภิปราย
     
ขณะที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงว่า กรณีที่มีการพูดถึงเงิน 3 หมื่นล้านในโครงการรถคันแรกว่า ควรนำมาช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยนั้น วงเงินดังกล่าวจะมีการตั้งงบประมาณในปี 2556 เพื่อรองรับจำนวนผู้ซื้อรถในโครงการรถคันแรกที่จะเพอ่มมากขึ้น การของบประมาณในปี 2555 นี้มีเพียง 95 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงระบบไอทีของกรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลาง และกรมขนส่งทางบก เพื่อให้ข้อมูลของทั้ง 3 หน่วยงานตรงกันเท่านั้น ส่วนโครงการพักหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยที่เป็นหนี้สถาบันการเงินของรัฐไม่เกิน 5 แสนบาทนั้น คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน พ.ย.54 แต่ที่ผ่านมาประชาชนไม่ได้รับความสะดวก จึงยังไม่มีความแพร่กลายมากนัก แต่เมื่อสถานการณืของประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เชื่อว่าลูกหนี้เหล่านี้จะทยอยมาเข้าร่วมโครงการมากขึ้น
     
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในมาตราดังกล่าว ได้ใช้เวลาอภิปรายจำนวน 1.45 ชั่วโมง  ก่อนปิดอภิปรายและลงมติ ผลปรากฎว่าที่ประชุมเห็นชอบตามมติกรรมาธิการเสียงข้างมาก 250 เสียง ไม่เห็นด้วย 95 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และไม่ลงคะแนน 3 เสียง



เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์