“กิตติรัตน์” ชี้นักการเมืองไม่มีส่วนใน กก.ชุดนิวไทยแลนด์

“กิตติรัตน์” ชี้นักการเมืองไม่มีส่วนใน กก.ชุดนิวไทยแลนด์

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินโครงการ “นิว ไทยแลนด์” เพื่อฟื้นฟูประเทศ ว่า
 
นายกรัฐมนตรีอยู่ระหว่างหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเชิญบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทั้งในและต่างประเทศมาร่วมกันเป็นคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อวางแนวทางปรับโครงสร้างเรื่องระบบน้ำทั้งประเทศ ทั้งการบริหารจัดการ การเตรียมการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในอนาคต ซึ่งคนที่จะพิจารณาในเรื่องนี้ต้องไม่ใช่นักการเมือง แต่ต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งมาจากภาคเอกชน เช่น ตัวแทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตัวแทนจากสมาคมวิศวกรรมสถาน สถาบันการศึกษาในประเทศที่เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม บริษัทเอกชนด้านก่อสร้างที่เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น ดังนั้นจึงขอให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการรั่วไหลเกิดขึ้นแน่นอน เพราะการพิจารณาทั้งหมดจะดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน

อย่างไรก็ตาม ในอีก 6 เดือนข้างหน้า น้ำฝนจะมาอีกระลอกหนึ่ง ดังนั้น จำเป็นต้องมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร

เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา เพราะจากการชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับบรรดาทูตจากทั่วโลกพบว่ามีคำถามที่เหมือนกันคือในอนาคตจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลต้องออกมาชี้แจงให้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรแม้จะสวนกับความรู้สึกของคนอีกหลายคนที่ยังเห็นว่ารัฐบาลยังสู้ศึกน้ำไม่แล้วเสร็จก็ตาม แต่เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องออกมาชี้แจงให้เข้าใจว่าถึงเวลาที่ต้องปรับโครงสร้างระบบน้ำของประเทศทั้งระบบแล้ว

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีองค์กรระหว่างประเทศที่มีประสบการณ์ช่วยเหลือฟื้นฟูประเทศที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก

ทั้งในระดับองค์กรและรัฐบาลได้เข้ามาเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์กับประเทศ รวมถึงการหารือร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี วันนี้ (1 พ.ย.) ขณะเดียวกันองค์กรเหล่านี้ก็พร้อมที่จะสนับสนุนแหล่งเงินกู้ระยะยาวและอัตราดอกเบี้ยถูกให้ด้วย

ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนบางแห่งได้นำเสนอแนวทางที่ให้เลื่อนระยะเวลาการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลของภาคเอกชนจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 ออกไปก่อน
 
เพื่อนำเงินภาษีไปตั้งกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอีเป็นวงเงินกว่า 60,000-70,000 ล้านบาทนั้น เท่าที่ตรวจสอบข้อมูลพบว่าเป็นเพียงข้อเสนอของหอการค้าไทยเท่านั้นยังไม่ได้เป็นมติเอกฉันท์ของภาคเอกชนทั้งหมด ซึ่งภาคเอกชนต้องหารือกันเองให้ครบทุกภาคส่วนก่อนว่าจะดำเนินการหรือไม่ เพราะนโยบายลดภาษีเป็นนโยบายที่เปิดกว้างครอบคลุมเอกชนทั้งหมดไม่ใช่เพียงแค่สมาชิกของหอการค้าเท่านั้น ขณะเดียวกันได้ประมาณกันว่าหากยังไม่ลดภาษีนิติบุคคลจะเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น 80,000-90,000 ล้านบาท แต่รัฐบาลยังเชื่อว่า เมื่อลดภาษีไปแล้วจะทำให้การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเพราะทุกคนพร้อมใจเสียภาษี ขณะเดียวกันจำนวนเงินดังกล่าวเป็นตัวเลขไม่มาก หากเทียบกับสิ่งที่เตรียมไว้หลายแสนล้านบาท ดังนั้น ทำอะไรต้องรอบคอบ จึงต้องฝากไปถามหอการค้าด้วยว่าหารือกับสมาชิกทั้งหมดหรือยัง.-สำนักข่าวไทย

เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์