ทักษิณ ร่อน จม.จวก คมช

ทักษิณ ร่อนจดหมายแถลง


เมื่อเวลา 15.20 น. วันเดียวกัน ที่โรงแรมเซ็นทรัล โซฟิเทล นายนพดล ปัทมะ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุในทำนองว่า กลุ่มอำนาจเก่าทางการเมือง น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องเหตุการณ์ ระเบิดกลางกรุงเทพฯหลายจุดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า เรื่องนี้เป็นข้อกล่าวหาที่ค่อนข้างรุนแรง จึงได้หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณและเห็นว่าควรต้องแถลงให้เกิดความชัดเจนอีกครั้งว่า พ.ต.ท.ทักษิณขอประณามการก่อเหตุครั้งนี้ด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุด เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ ซึ่งต้องทำความชัดเจนโดยเร็ว และในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้เขียนจดหมายครั้งแรก และช่วงเช้าวันนี้ได้แฟกซ์จดหมายฉบับดังกล่าวจากกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจดหมายดังกล่าวลงวันที่ 2 ม.ค. 2550

จวกพวกอาฆาตมาดร้าย


พร้อมกันนั้นนายนพดลได้ให้เจ้าหน้าที่แจกจ่ายสำเนาจดหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเขียนด้วยลายมือ มีความยาวกว่า 2 แผ่นกระดาษ ให้แก่สื่อมวลชน พร้อมกับอ่านจดหมายดังกล่าว โดยเนื้อหาระบุว่า

วันนี้ผมมีความจำเป็นต้องออกจากความเงียบทางการเมือง หลังจากที่ถูกปฏิวัติ ที่ผมเงียบไม่ได้พูดการเมืองก็เพราะตั้งใจที่จะเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หลังจากที่ผมเฝ้าดูมา 100 วันเศษ ก็พบว่ากลุ่มที่ร่วมกันล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็ไม่สามารถและไม่พยายามสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นได้ ทั้ง ๆ ที่ผมได้โทรศัพท์พูดคุยกับบุคคลบางกลุ่มในกลุ่มนี้ในฐานะคนเคยทำงานด้วยกัน มีความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมา เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า

ผมมีน้ำใจนักกีฬาพอที่จะรู้แพ้ รู้ชนะรู้อภัย ขอให้เขาทำหน้าที่ให้เต็มที่ไม่ต้องพะวงผม ผมจะยังไม่กลับไปเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์โดยเร็ว แต่พฤติกรรมกลับตรงกันข้าม มีความอาฆาต มาดร้าย ไร้ความยุติธรรม ตอกลิ่bมความแตกแยก มีการกล่าวเท็จโดยแนวร่วมอยู่ตลอดเวลา


สุมหัวร่วมกล่าวหา


ถ้าคนเป็นอดีตนายกรัฐมนตรียังได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว ประเทศจะได้รับความเชื่อถือได้อย่างไร ถ้าประเทศขาดความเชื่อถือ ก็อย่าหวังว่าประชาชนจะมีความสุข อยู่ดี กินดี เพราะเราต้องอาศัยเม็ดเงินที่เป็นเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก เพื่อสร้างความเจริญและความมั่งคั่งให้ประเทศที่เลวร้ายที่สุด คือ เหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ คืนวันที่ประชาชนออกไปหาความสุขกัน คือวันที่ 31 ธ.ค. 2549

รัฐบาลนี้สามารถสรุปได้ในเช้าวันที่ 1 ม.ค. (วันรุ่งขึ้น)

ได้ทันทีว่า เป็นกลุ่มการเมืองเก่า และมีสื่อที่ขายจิตวิญญาณตัวเองบางคนชี้มาที่ผม ข่าวคราวที่แท้จริงถูกปิดบัง ถ้าเปรียบกับระเบิดที่เกิดขึ้นหลายครั้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีทหาร ครู พระ ประชาชนตาย และบาดเจ็บจำนวนมากในช่วงรัฐบาลนี้ ก็ยังจับกุมไม่ได้ พอเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ ไม่ถึง 24 ชั่วโมง รีบสรุปว่าเป็นกลุ่มการเมืองเก่า ข่าวสารถูกปิดบังเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด นักการเมืองบางคนที่กลัวการแข่งขันก็ร่วมกล่าวหา

เชื่อเหตุบึมโยงสถานการณ์ใต้


พี่น้องครับ ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองดำเนินไปด้วยความไม่ยุติธรรม ไร้คุณธรรมเช่นนี้ ทำลายล้างกันเอง และหนีปัญหาที่แท้จริงเช่นนี้ ต่างชาติเขาจะหัวเราะเยาะเอา ทั้ง ๆ ที่ทุกประเทศเขาเร่งเดินหน้าสร้างความเจริญ ของเราขอถอยหลังชำระแค้นกันเองเสียก่อน จะไหวหรือครับ ผมเคยติดตามงานด้านความมั่นคงมาก่อน ผมสอบถามตำรวจดูถึงวัสดุที่ใช้ และแผนประทุษกรรม และทราบว่ามีวงจรปิด มีการจับกุมวัยรุ่นที่สงขลาที่เตรียมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ผมก็เดาได้ว่าน่าจะมีโอกาสสูงที่จะเชื่อมโยงกับสถานการณ์ภาคใต้ ดูแล้วคล้ายกับที่ทำที่หาดใหญ่ แต่ผมก็ยังต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกต่อไป


อัดนโยบายปูผ้ากราบผิดพลาด


แต่รัฐบาลนี้แทนที่จะตรวจสอบให้แน่นอน ซึ่งต้องใช้เวลาบ้าง กลับเอาสถานการณ์ความวิตก สะเทือนขวัญของประชาชน และความน่าเชื่อถือของประเทศมาเล่นการเมืองทันที เพราะถ้ายอมรับว่ามีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ภาคใต้ก็เท่ากับยอมรับว่า นโยบายปูผ้ากราบผิดพลาด คนเหล่านี้เขามีความมุ่งมั่นที่จะแยกดินแดน หรืออย่างน้อยขอปกครองตนเอง จึงเห็นความอ่อนแอของนโยบาย เป็นช่องทางต่อรอง จึงรุก

ผมเคยประชุมเตือนผู้มีหน้าที่ระดับสูงหลายครั้งว่า ถ้าไม่สามารถสะกดให้อยู่ใน 3 จังหวัดได้ จะเข้าหาดใหญ่ ถ้ายังสะกดไม่ได้อีก จะเข้ากรุงเทพฯ แล้วจะเสียหายต่อประเทศ ทุกครั้งที่มีเทศกาลในกรุงเทพฯ ที่ประชาชนจะออกมาหาความสุขจำนวนมาก ผมจะสั่งการให้หน่วยข่าวเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคลเหล่านี้ล่วงหน้า และให้เจ้าหน้าที่ฝังตัวอยู่กับประชาชนในจุดที่เป็นจุดเปราะบาง หรือ soft taget พอเทศกาลผ่านไปโดยไม่มีเหตุ ก็จะโล่งใจกันครั้งหนึ่ง

สาบานไม่เคยคิดทำร้าย ปชช.


พี่น้องครับ ไม่ว่าผู้ที่ลอบวางระเบิดจะเป็นใคร ผมขอประณามการกระทำครั้งนี้โดยถ้อยคำที่รุนแรง (condemm with strong words) และผมขอสาบานว่า ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดทำร้ายและทำลายความสุขของประชาชน ทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศ เพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง ถ้าพี่น้องจำได้ จะเห็นได้ว่าช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ความพยายามล้มล้างรัฐบาลโดยกลุ่มเสียผลประโยชน์ และกลุ่มที่เข้าใจรัฐบาลผิด อันเกิดจากการโกหกนั้น ผมไม่เคยใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาเลย โดยเฉพาะปีที่แล้วเป็นปีมหามงคลยิ่งของพี่น้องชาวไทย


วอนทุกฝ่ายหันหน้าหากัน


ข้อกล่าวหาที่เลวร้ายมากอีกเรื่องที่ผมถูกใส่ร้ายป้ายสี คือความไม่จงรักภักดี เรื่องนี้พี่น้องคงจะประจักษ์ ดีแล้วว่า ตลอดเวลาในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ผมได้เทิดทูน ทุ่มเท โดยเฉพาะในปีมหามงคลที่ผ่านมา ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ทุกข้อกล่าวหา ผมขอให้ใช้กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลาง ถูกต้องตามหลักสากล ซึ่งถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน อันนำความน่าเชื่อถือของประเทศ

ผมพร้อมเผชิญและพร้อมเดินทางกลับมารับข้อกล่าวหา เพื่อต่อสู้ทุกกรณี แต่ไม่ใช่มาบอกว่า ไม่อยากให้ผมกลับประเทศในช่วงนี้ แต่เล่นงานผมและครอบครัว กล่าวหาผมลับหลัง ขอให้คิดว่าคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวนา หรืออดีตนายกรัฐมนตรี ก็ย่อมมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่ต้องรักษาเช่นกัน แต่ทั้งนี้คงไม่มีอะไรสำคัญกว่าชาติ ที่นับวันความน่าเชื่อถือก็ลดลง หากเราชำระแค้นกันเอง ไม่ว่าในหมู่ข้าราชการ นักการเมือง และประชาชน

ผมขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เดินหน้าประเทศของเราต่อไปเถอะครับ เพื่อพระเจ้าอยู่หัวของเรา ซึ่งจะเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษาในปีนี้ ซึ่งก็เป็นปีมหามงคลยิ่งของชาวไทยอีกปีหนึ่ง และได้โปรดอย่าแอบอ้างพระองค์ท่านเพื่อทำลายล้างกันเองอีกต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ท้ายจดหมายอวยพรปีใหม่


สุดท้ายนี้ผมขอกราบเรียนพี่น้องประชาชนว่า ที่ผ่านมาผมเป็นคนทำงานก็ย่อมมีจุดอ่อน จุดบกพร่องบ้าง แต่ผมขอยืนยันว่า ผมไม่เคยคิดร้าย คิดเลว ต่อชาติบ้านเมือง ต่อสถาบันเบื้องสูงที่เราเคารพศรัทธา หรือกับประชาชนเลย ถ้ามีสิ่งใดบกพร่องไม่เป็นที่พอใจของใคร ผมก็ขอกราบอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

และผมขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งทั้งหลายที่ท่านเคารพ ตลอดจนเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีนาถ โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ทุกครอบครัวจงประสบความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดสมความปรารถนาทุกประการตลอดปี 2550 ครับ ด้วยความเคารพรักและสำนึกต่อชาติ ลงชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ทนายยันกลับมารับข้อกล่าวหา


ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากจดหมายฉบับดังกล่าวแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณได้โทรศัพท์ยืนยันความบริสุทธิ์กับรัฐบาล หรือ คมช.ด้วยหรือไม่ นายนพดลกล่าวว่า ตนไม่มีข้อมูลว่าได้พูดคุยกับผู้ใหญ่คนใดใน คมช.ในเรื่องนี้ แต่จดหมายซึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรนี้ เขียนถึงคนไทยทุกคน เป็นสิ่งยืนยันความบริสุทธิ์

เมื่อถามอีกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อความพยายามจะเดินทางกลับประเทศหรือไม่

นายนพดลกล่าวว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การเดินทางกลับมา ก็จะต้องกลับมาตามกระบวนการทางกฎหมาย คือเพื่อมารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่จะเดินทางกลับมา การที่มีความพยายามโยงกลุ่มอำนาจเก่านั้นเป็นเรื่องด่วนสรุป และรุนแรงเกินไป เพราะแม้แต่ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่พยายามให้สัมภาษณ์ใดๆ หรือแสดงความเคลื่อนไหว โดยอยู่เพียงเงียบๆ ดังนั้น จึงต้องเขียนจดหมายฉบับนี้มา อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะนำความจริงมาปรากฏ อย่าอาศัยความคลุมเครือมากล่าวหาคู่แข่งและทำลายกันทางการเมือง


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์