กษิตระบุจบแล้ว คดียึดเครื่องบิน

กษิต ระบุคดีเยอรมนียึดเครื่องบินพระที่นั่งจบแล้ว

หลังมีพระราชวินิจฉัยเป็นอื่น มุ่งสู่คดีหลักที่ศาลกรุงเบอร์ลิน โดยอสส.เตรียมพยานหลักฐานบินไปสู้คดีแล้ว ขณะที่มาร์คย้ำ อสส.จะบินไปเยอรมนีวันที่ 3 ส.ค.นี้ หลังอัยการสูงสุดระบุ สู้คดีได้แน่ ไม่ต้องระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
       
จากกรณีที่ทางการเยอรมนียึดเครื่องบินโบอิ้งพระที่นั่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
 
โดยอ้างว่ารัฐบาลไทยไม่ยอมชำระหนี้บริษัท วอลเตอร์ บาว จำกัด เกี่ยวกับการสร้างทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ แต่รัฐบาลไทยชี้แจงว่าเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาล เยอรมนีจึงแจ้งว่าหากไทยต้องการเครื่องบินลำดังกล่าวคืนให้วางเงินประกัน 20 ล้านยูโร หรือ 845 ล้านบาท ซึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อระงับข้อพิพาท และมิให้เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เข้าเฝ้าฯถวายรายงานเรื่องดังกล่าวแล้วเมื่อตอนเย็นวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวให้ทราบนั้น
       
ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 2 ส.ค.

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อถวายรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีพิพาทระหว่างรัฐบาลไทย กับบริษัท วอลเตอร์ บาว เอจี เยอรมัน และการที่นายกฯได้หารือกับอัยการสูงสุดในบ่ายวันเดียวกันนี้ว่า หลังจากประชุมกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วนำเสนอเรื่องต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งครม.ได้อนุมัติการดำเนินการต่อไปในหลักการที่จะมีการสนองพระราชปณิธาน คือการเร่งทำให้คดีการอายัดเครื่องบินพระที่นั่งเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด หรืออย่างน้อยต้องไม่ปล่อยให้ลุกลามส่งผลกระทบไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติแนวทางเอาไว้ดังนั้น วันนี้ตนได้เชิญทุกหน่วยงานมาหารืออีกครั้งเพื่อซักซ้อมเพิ่มเติม หลังจากการไปขอความเห็นและตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ทั้งนี้ คณะของอัยการสูงสุด (อสส.) จะเดินทางไปยังกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ในวันที่ 3 ส.ค.นี้ และคงจะดำเนินการในสัปดาห์นี้ โดยจะเร่งรัดให้ได้ข้อยุติที่ดี
       


ส่วนการที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทดังกล่าวนั้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทรงห่วงในเรื่องผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะถ้าเหตุการณ์ยืดเยื้อและลุกลาม ก็จะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์และต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นทรงแสดงพระราชปณิธานสละพระราชทรัพย์ เพื่อให้ไม่เกิดปัญหา ดังนั้นเราน้อมรับและสนองในการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายนี้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยยังมีแนวทางที่จะทำได้ ซึ่งไม่ต้องไประคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
       
ทั้งนี้ คดีการอายัดเครื่องบินนั้นไม่มีการไปวางเงินในศาล แต่เรื่องของคดีหลักที่ศาลกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการดำเนินอย่างไรไม่ให้เกิดผลกระทบกระเทือนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งกำลังดำเนินการในหลายช่องทางอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลายประเด็นที่พันกันอยู่ ทั้งนี้คิดว่าจะรายงานความคืบหน้าในคดีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาให้ตนทราบในช่วงปลายสัปดาห์นี้
       
เมื่อถามถึงการทำให้เครื่องบินดังกล่าวถูกถอนอายัด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า

กำลังดำเนินการกันอยู่ เมื่อถามว่าการดำเนินการต่าง ๆ ในเรื่องนี้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากหลายทางใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นธรรมดา มีแรงกดดันต่อทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งรวมถึงฝ่ายบริษัทดังกล่าว เมื่อถามต่อว่าบริษัทนี้ได้ติดต่อเพื่อขอให้มีการประนีประนอมอะไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เขาขอประนีประนอมมาเป็นระยะ ๆ แต่ช่วงนี้ยังไม่มีการติดต่อเข้ามา
       
ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องเดียวกันว่า เรื่องนี้อยู่ในระดับปลัดกระทรวงที่ได้ประชุมกันไปแล้วในระดับรายละเอียดของเรื่องที่ต่อเนื่อง เมื่อถามว่าการยึดเครื่องบินส่วนพระองค์ และคดีบริษัท วอลเตอร์ บาว จะทำอย่างไร และใครจะดำเนินการต่อไป นายกษิต กล่าวว่า เป็นเรื่องของสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
       
ต่อข้อถามว่าหลังจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชกระแสและพระราชปณิธานดังกล่าว ในส่วนของคดีที่เกี่ยวกับบริษัทดังกล่าวจะทำเช่นใด
 
นายกษิต กล่าวว่า เรื่องจะกลับมาที่รัฐบาล และว่ากันในกรณีที่บริษัท วอลเตอร์ บาว ร้องขอต่อศาลกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ให้บังคับคดีตามคำสั่งของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศเป็นหลัก ในวันที่ 16 ส.ค.นี้ เพราะการฟ้องร้องคดีเริ่มต้นที่นั่น จึงกลับไปเริ่มต้นที่คดีตัวหลักที่ศาลกรุงเบอร์ลิน ซึ่งคดีอายัดเครื่องบินพระที่นั่งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของคดีหลัก และตอนนี้ อสส.อยู่ระหว่างการปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดกับคณะทนายความของเรา ส่วนการอายัดเครื่องบินพระที่นั่งนั้น ถือว่าจบแล้ว ไม่เกี่ยวกัน เพราะมีพระราชวินิจฉัยเป็นอื่นแล้ว และเมื่อเราเลือกไปทำที่ต้นเรื่องในคดีหลัก คดีรองก็หลุดไปโดยปริยาย
       
ส่วนข้อถามถึงการเตรียมอุทธรณ์ในกรณีที่บริษัทนี้ยื่นขอให้มีการบังคับคดี นายกษิต กล่าวว่า
 
การต่อสู้คดีตามที่มีการแถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ไปแล้ว ซึ่งหลังการประชุมครม.นัดพิเศษนายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมกลุ่มย่อยต่อ เพื่อประสานกับคณะทนายความที่จะไปสู้คดีนี้ที่กรุงเบอร์ลิน เมื่อถามต่อถึงการฟ้องร้องคดีเพิ่มเติม นายกษิต กล่าวว่า นั่นเป็นการฟ้องกลับ ซึ่งต้องทำทีละขั้นตอน โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ส่งคณะทำงานจากกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เข้าไปช่วย อสส.แล้ว.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์