68 ปี ปชป. - “มาร์ค” โทษ “แม้ว” ทำบ้านเมืองไม่สงบ

68 ปี ปชป. - “มาร์ค” โทษ “แม้ว” ทำบ้านเมืองไม่สงบ

68 ปี ปชป. - “มาร์ค” โทษ “แม้ว” ทำบ้านเมืองไม่สงบ เชื่อ หากศาลชี้ “ปู” ผิด ปัญหาก็ยังไม่จบ ยัน พร้อมลงเลือกตั้ง หากสถานการณ์เรียบร้อย ฟุ้ง นำ ปชป. สวมบทบาทสำคัญ พาประเทศไปข้างหน้า ด้าน “ชวน” กรีด รบ. เลิกโวยองค์กรอิสระ หวัง “คนดี” ขึ้นปกครองประเทศ   


เวลา 11.15 น. วันที่ 6 เม.ย. ภายหลังจากเสร็จพิธีกรรมทางศาสนางาน 68 ปี พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

และนายชวน ลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค ได้กล่าวเปิดใจกับสมาชิกพรรคที่มาร่วมงานฉลองครบรอบ 68 ปี พรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 68 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ ผ่านมาทุกสถานการณ์ ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมกอบกู้วิกฤติมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันวิกฤติทางการเมืองเกิดจากปัญหาคอร์รัปชั่นทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาและเกิดความไม่ไว้ใจ ซึ่งตนไม่แปลกใจเลยว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา ที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 44 ล้านคน แต่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกพรรคการเมืองแค่เพียง 14 ล้านคนเท่านั้น ขณะที่การเลือกตั้ง ส.ว. เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ก็มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพียง 16 ล้านคน เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นเลขที่น้อยที่สุดเลยก็ว่าได้

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จึงอยากขอเรียกร้องให้ผู้ที่มีอำนาจตระหนักและทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
 
จึงมีความจำเป็นต้องมีกระบวนการทางการเมืองมาสะสางให้ชัดเจนว่า ประชาธิปไตย การปฏิรูปและความยุติธรรมคืออะไร นายกฯและกลุ่ม กปปส. จำเป็นต้องมาร่วมกันกำหนดให้ชัดว่า เรื่องของการปฏิรูปและการเลือกตั้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นไม่ตรงกันนั้น มีปัญหาที่ตรงไหน และแม้จะผ่านพ้นตรงนี้ไปได้ บ้านเมืองก็จะยังไม่สงบ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังต้องการในสิ่งที่กฎหมายไทยให้ไม่ได้อยู่ ดังนั้นพวกเราจึงมีหน้าที่ในการทำให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์และข้อมูลต่างๆ

“สำหรับการชุมนุมใหญ่ของทั้ง 2 กลุ่ม เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่หลายฝ่ายมีความกังวล ที่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องของการใช้อาวุธสงคราม หรือความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เรายังไม่ทราบว่า บรรยากาศหลังการตัดสินในคดีต่างๆแล้วมีการปลุกระดมประชาชนจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็ต้องระมัดระวังแล้วเข้าใจว่าประชาชนแต่ละกลุ่มรับข่าวสารไม่เหมือนกันและสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือมีการลากองค์กรอิสระแล้วศาลเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งคดีใดที่ฝ่ายเขามีแนวโน้มว่าจะแพ้ เขาก็จะประโคมข่าวว่าศาลและองค์กรอิสระ สมคบคิดล้มประชาธิปไตยหรือล้มรัฐบาล ซึ่งสุดท้ายแล้วผมไม่เชื่อว่าการที่จะเอามวลชนมาปะทะกันจะแก้ปัญหาได้ เพราะหากมีการปะทะกัน ก็เชื่อว่าฝ่ายที่แพ้จะไม่ยอม สุดท้ายปัญหาก็จะไม่จบ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ส่วนคดีที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพ นายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากการแต่งตั้งตั้งโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี
 
โดยใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบนั้น เราก็ต้องรอคำวินิจฉัยของศาล แต่คำวินิจฉัยของแต่ละคดีที่ออกมาแล้วนั้น ก็ไม่ได้ให้คำตอบทางการเมืองว่า จะเดินต่อไปอย่างไร เพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ. ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่ได้คำตอบว่าจะจัดการเลือกตั้งใหม่อย่างไร หรือว่าการเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นเมื่อใด ขณะที่คดีของนายกฯ สมมติหากศาลตัดสินว่านายกฯมีความผิดหรือวินิจฉัยให้พ้นสถานภาพ ก็ยังไม่ได้เป็นการให้คำตอบว่า บ้านเมืองเราจะเดินต่อไปอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์จึงกำหนดแนวทางหรือท่าทีไว้ชัดเจนว่า การเมืองต้องหาคำตอบด้วยกระบวนการทางการเมือง
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ขอให้สมาชิกพรรคทุกคนดำเนินหน้าที่ต่อไปด้วยความอดทน มุ่งมั่น ตั้งใจ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองหรือปัญหาอื่นๆ ทั้งนี้หากสถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยพรรคก็พร้อมที่จะจัดการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามเส้นทางของอุดมการณ์ที่พรรคเดินทางมาตลอด 68 ปี และในโอกาสที่พรรคก้าวเข้าสู่ปีที่ 69 พรรคก็พร้อมที่จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนำพาประเทศออกจากวิกฤติและวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมไทยในอนาคต จึงขอให้ทุกคนร่วมสืบสานอุดมการณ์ของพรรคเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป

ด้าน นายชวน กล่าวว่า ขณะนี้บ้านเมืองเปลี่ยนไปมากแตกต่างจากในอดีต โดยในอดีตทุกคนเห็นว่าทหารเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย จากปัญหาปฏิวัติ
 
แต่ในปัจจุบันมีปัญหาธุรกิจการเมืองหรือที่เรียกว่า ระบอบทักษิณ ซึ่งระบบนี้จะหมดไปอย่างแน่นอน แต่จะหมดไปได้อย่างไรนั้นเป็นหน้าที่ที่ประชาชนต้องตอบคำถามนี้ และคนไทยต้องช่่วยกันป้องกันไม่ให้คนที่โกงทั้งโคตร หรือโคตรโกงเข้ามาบริหารประเทศ และอย่าโยนว่า ศาลหรือองค์กอิสระอยู่ฝ่ายใด เพราะพฤติกรรมของรัฐบาลลุแก่อำนาจทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายโดยไม่สนใจคำเตือนในสภา จนในที่สุดก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งประเด็นที่มา ส.ว.และมาตรา 190 ขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการตัดสิทธิผู้อภิปรายและทำผิดกฎหมายหลายอย่าง แต่ที่มาโวยวายเพราะวิ่งเต้นไม่ได้

“แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองในขณะนี้ จึงอยากให้ทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหา อย่าโยนให้เป็นภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหาก็เชื่อว่าจะสามารถนำพาประเทศออกจากวิกฤติได้  ดังนั้นจึงต้องให้คนดีขึ้นมาปกครองเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย อย่าให้คนไม่ดีเข้ามามีอำนาจ และยังขอให้ข้าราชการทุกฝ่ายทบทวนตัวเองว่าได้ทำหน้าที่แล้วหรือยัง” นายชวนกล่าว

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์