ธาริตจัดให้แล้ว สั่งไม่ฟ้อง แม้ว-อ้อซุกหุ้นภาค2

"ธาริต"ลงนามเห็นพ้องกับอัยการ สั่งไม่ฟ้อง"ทักษิณ-พจมาน"

คดีไม่รายงานการถือครองหุ้นเกิน 5% และไม่ทำคำเสนอซื้อกรณีถือครองหุ้นเกิน 25% ต่อก.ล.ต. เผยเป็นคดีต่อเนื่องจากคำพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน ซึ่งศาลระบุทักษิณ ถือครองหุ้นโดยใช้ชื่อลูก-เมียและน้องสาว จนก.ล.ต.ร้องดีเอสไอสอบ ซึ่งดีเอสไอมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ก่อนส่งให้อัยการพิจารณา กระทั่งอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และดีเอสไอก็เห็นพ้องด้วย ทำให้คดีนี้ยุติลงทันที

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. รายงานข่าวจากกรมสอบ สวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม

แจ้งว่านายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงนามในหนังสือที่ ยธ.0802.3/1567 เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตอบกลับหนังสือของสำนักงานอัยการสูงสุด กรณีมีคำสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาที่ 1 และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาไม่รายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการใด ในลักษณะที่ทำให้ตนหรือบุคคลอื่น เป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 44 และวันที่ 25 ม.ค. 49 โดยนายธาริต มีความเห็นพ้องคำสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน

สำหรับรายละเอียดในเอกสารที่ ยธ.0802.3/ 1567 ลงวันที่ 20 มิ.ย. ระบุว่า ตามที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 4 สำนักงานอัยการสูงสุด

ได้ส่งสำนวนการสอบ สวนคดีพิเศษที่ 254/2553 พร้อมคำสั่งไม่ฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาที่ 1 และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหา (1)ไม่รายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการใด ในลักษณะที่ทำให้ตนหรือบุคคลอื่น เป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุกร้อยละ 5 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น ไม่ว่าจะมีการลงทะเบียนการโอนหลักทรัพย์นั้นหรือไม่ และไม่ว่าการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของหลักทรัพย์นั้น จะมีจำนวนเท่าใดในแต่ละครั้ง ต่อสำนักงานทุกครั้งที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ภายในวันที่ทำการถัดจากวันที่ได้มา หรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการนั้น และไม่ทำคำเสนอซื้อ หรือได้มา อันเป็นผลให้ตนเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการรวมกันถึงร้อยละ 25 ขึ้นไป ของจำนวนสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมดของกิจการนั้นต่อสำนักงาน ภายในวันทำการถัดจากวันที่ได้หลักทรัพย์นั้นมา

หนังสือดังกล่าวระบุต่อว่า (2)ไม่รายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการใด ในลักษณะที่ทำให้ตนหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง

เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุกร้อยละ 5 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น ไม่ว่าจะมีการละทะเบียนการโอนหลักทรัพย์นั้นหรือไม่ และไม่ว่าการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของหลักทรัพย์นั้นจะมีจำนวนเท่าใดในแต่ละครั้ง ต่อสำนักงานทุกครั้งที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ภายในวันทำการถัดจากวันที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการนั้น เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 44 และวันที่ 25 ม.ค. 49 เวลากลางวัน ที่แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. ไปเพื่อพิจารณาตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 34 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154

"อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้ว เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ของพนักงานอัยการในความผิดฐานดังกล่าว"

สำหรับคดีดังกล่าวเป็นคดีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
 
ยื่นฟ้องกล่าวโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเดือนเม.ย.2553 กรณีกระทำความผิดที่เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 246 และมาตรา 247 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 กรณีการซื้อขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำตัดสินชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานร่ำรวยผิดปกติ ขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยให้ลูก-น้องสาวถือครองหุ้นแทน โดยสั่งยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทพร้อมดอกผลให้ตกเป็นของแผ่นดิน จากวงเงินที่เป็นมูลฟ้อง 7.6 หมื่นล้านบาท

โดยคดีที่ก.ล.ต.ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น ก่อนหน้านี้กรมสอบสวนคดีพิเศษมีคำสั่งไม่ฟ้องไปแล้ว เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ และส่งสำนวนให้อัยการ สำนักงานคดีพิเศษ พิจารณาอีกครั้ง กระทั่งเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องและส่งเรื่องกลับให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทั่งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ลงนามมีความเห็นพ้องกับอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ทำให้คดีนี้ยุติลงทันที

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์