มาร์ค สารภาพ คืนวันที่ 10 เมษา ทุกข์ที่สุด

"มาร์ค" สารภาพ คืนวันที่ 10 เมษา ทุกข์ที่สุด เป็นคืนที่ร้องไห้อยู่นาน ยอมรับคนที่ให้สติคือ ภรรยา

ในการปราศรัยใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ บริเวณสี่ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรี   กล่าวตอนหนึ่งว่า   เราต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะ เมื่อมีการมายึดพื้นที่ที่เป็นใจกลางเมืองอย่างนี้ ศูนย์กลางธุรกิจแทบจะเรียกว่า เป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจของประเทศ วันนั้นแรงกดดันมากมายครับพี่น้องครับ ด่าผมทุกวัน ว่าทำไมไม่สลายการชุมนุม

ผมพยายามทำความเข้าใจ ผมบอกว่าเขาวางแผนไว้หลายชั้น เขาอาศัยการเผยแพร่ไปยังต่างประเทศ พี่น้องเคยเห็นไหมครับ

การชุมนุมครั้งไหนมีป้ายภาษาอังกฤษเยอะมาก โทรทัศน์ ซีเอ็นเอ็น บีบีซี อัลจาซีรา มาถ่ายการชุมนุมของพี่น้องเมื่อปีที่แล้ว ป้ายภาษาอังกฤษออกไปหมดครับ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อคนยากคนจน เขาต้องการให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาล โดยจะอ้างว่ารัฐบาลคือฝ่ายที่เป็นเผด็จการ ใช้กำลังความรุนแรงเข้าไปสลายพี่น้องที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยพี่น้องหลายคนเพิ่งมาเข้าใจผมปีนี้ครับ

ที่เคยด่าผมว่าทำไมปล่อยเหตุการณ์ต่าง ๆ ยืดเยื้อต่าง ๆ วันนี้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง ที่อาฟริกา ที่กลายเป็นสงครามกลางเมืองบ้าง ยังไม่รู้จะจบอย่างไรบ้าง ปีนี้มาบอกผมครับว่า คุณอภิสิทธิ์ ผมเข้าใจคุณแล้ว

และผมยืนยันครับว่า เราจึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้เกิดปัญหา วันที่ต้องไปนั่งเจรจา 3 ชั่วโมงนั่นน่ะครับ

พี่น้องผู้ชุมนุมไปที่ราบ 11 เป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวมากครับ เพราะตามกฎเกณฑ์ของราชการ ถ้าเกิดอะไรขึ้น มีคนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่อย่างนั้น พี่น้องครับ ฝ่ายความมั่นคงเขาต้องปฏิบัติตามมาตรฐานก็คือต้องปกป้องที่มั่นนั้น ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความสูญเสียจะเป็นเท่าไหร่ และโชคดีนะครับวันนั้น วันเดียวกันวันนั้นมีคนยิง M79 ไปที่หน่วยทหารที่ รอ.1 ครับ นึกภาพสิครับ ถ้าพี่น้องเสื้อแดงอยู่ข้างหน้าราบ 11 แล้วมีใครยิง M79 เข้าไปในราบ 11 วันนั้นอะไรจะเกิดในบ้านเมืองของเรา

ผมถึงบอกคุณกอร์ปศักดิ์วันนั้นครับ ทำอย่างไรก็ได้ ขอให้พี่น้องเสื้อแดงกลับมาที่ชุมนุมหลัก ให้ผมไปเจรจาผมไป เพราะผมต้องการรักษาชีวิตของคนไทยทุกคน

เจรจาอยู่ 2 วัน ผมไม่พูดรายละเอียดหรอกครับ พี่น้องหลายคนก็ดูทางโทรทัศน์ ทราบดีว่าในที่สุด ไม่สำเร็จ และการชุมนุมเคลื่อนไหวก็ยังดำเนินต่อไป จนกระทั่งมีการไปไทยคม มีการไปทำอะไรหลายต่อหลายอย่าง ซึ่งทำให้ในที่สุดเราบอกว่า ต้องมีการดำเนินการบางอย่างเพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว


แต่ผมยืนยันครับ ว่าคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจตามโครงสร้าง จะเป็น ศอ.ฉ. หรือใครก็แล้วแต่ เราคุยกันตั้งแต่วันแรก

ผมขออนุญาตที่จะเอ่ยนามท่านผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ท่านถูกต่อว่า ถูกด่า จากหลายฝ่าย แต่ผมยืนยันครับ เราคุยกัน เปิดใจคุยกัน หัวใจของท่านตรงกับผม ตรงกับผมก็คือว่า จะปฏิบัติการอะไรต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความรุนแรง และความสูญเสียจนถึงที่สุด และเปิดใจคุยกันครับ คิดตรงกัน ผมบอกกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ทหาร ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจ ว่า ท่านครับ ท่านทำหน้าที่ของท่าน ไม่ใช่อุ้มรัฐบาล แต่อุ้มประเทศและความถูกต้อง และระบอบประชาธิปไตย

เหตุการณ์วันที่ 10 เมษา พี่น้องเห็นไหมครับว่า ทหารพยายามเข้าไปขอคืนพื้นที่ ไปตั้งแต่บ่ายโมง จนถึงหกโมง 5 ชั่วโมงเต็ม ๆ ไม่มีความสูญเสียเลย
 
เพราะเขามีวินัย เคร่งครัดในเรื่องของกฎของการใช้กำลัง แต่พอตอนค่ำขณะที่มีการถอนกำลังกลับมา แล้วเกิดเหตุการณ์ยิง M79 ยิงระเบิด จนนายทหารเสียชีวิต นั่นแหละครับ ความวุ่นวาย ความสับสนต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น คุณสุเทพ เล่าให้พี่น้องฟังไปแล้วโดยละเอียด ผมไม่พูดซ้ำครับ แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือว่า วันนั้น

ผมเห็นผู้บังคับบัญชาหลายคนน้ำตาซึมครับ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นนายทหารที่มีคุณภาพต้องมาสูญเสียในเหตุการณ์นั้น และพอตกค่ำ ไปจนถึงช่วงดึก เราก็ทราบว่ามีพี่น้องผู้ชุมนุม เสียชีวิตด้วย ผมก็เชื่อครับว่า ญาติพี่น้องของเขา ก็ต้องเสียใจไม่น้อยไปกว่าญาติพี่น้องของทหาร หรือเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิต

แต่ที่ผมต้องพูดในส่วนของผู้บังคับบัญชาเหล่าทัพทั้งหลาย เขาไม่เคยคิดที่จะตอบโต้ด้วยความรุนแรง พี่น้องเห็นภาพตอนถอนกำลังออกมา พยายามอย่างมากที่สุดคือการยิงป้องกัน ยิงคุ้มครองเท่านั้นเอง ให้คนที่สามารถกลับมาโรงพยาบาลได้ กลับออกจากพื้นที่ที่มีการปะทะกันออกมาได้

เชื่อไหมครับ ผมไปเยี่ยมเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ เขาบอกว่า ไม่เคยมียุคไหนเหตุการณ์ใดที่มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัสเท่ากับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษาครับ

แต่กองทัพไม่ได้ใช้ความรุนแรงเข้าตอบโต้ กองทัพไม่ฉกฉวยโอกาสกระทำการรัฐประหาร เพราะอย่างที่ผมบอกคือเขาต้องการประคับประคองประเทศของเราให้เกิดหน้าต่อไปให้ได้เท่านั้นนะครับ

พี่น้องครับ เมื่อตอนหัวค่ำคุณสุเทพ บอกว่าคืนวันนั้นและวันรุ่งขึ้นไม่กล้าที่จะถามผมว่า ผมคิดอะไร ผมบอกกับพี่น้องครับ คืนวันที่ 10 เมษา คือคืนที่ผมทุกข์ที่สุด ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรี มาจนถึงวันนี้

พี่น้องหลายคน มักจะพูดกับผมเสมอครับว่า ผมเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรมากมายนัก ผมพยายามทำอย่างนั้น เพราะผมเคยพูดตั้งแต่วันแรกที่เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ผมมีหน้าที่ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเย็นลง แต่ที่คุณสุเทพ บอกว่าไม่กล้าถามผม และดูสีหน้าผมแล้วนั้น ผมต้องสารภาพ คืนนั้นเป็นคืนที่ผมร้องไห้อยู่นานมากครับ

ในชีวิตการเมืองของผม ผมไม่เคยต้องการจะเห็นความสูญเสียกับพี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด แม้แต่คนเดียว แต่มาเกิดขึ้นในยุคที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี

พี่น้องครับ ผมทบทวนแล้ว ทบทวนอีก คิดอยู่ตลอดเวลาว่า จะต้องตัดสินใจอย่างไร ทั้ง ๆ ที่ในใจรู้มาตลอดว่า ทั้งผม ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ เราพูดกันและปฏิบัติอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าเราจะทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่เกิดขึ้น

แต่ผมรู้ว่าตั้งแต่คืนนั้นแหละครับ ไม่ว่าผมจะตัดสินใจอย่างไร ชีวิตผมไม่มีทางเหมือนเดิม

ต้องมีคนโกรธ ต้องมีคนแค้น โดยธรรมชาติ และถ้ามีกระบวนการในการปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังมากขึ้น แน่นอนที่สุดครับ ไม่ต้องพูดถึงว่า ผมจะต้องเผชิญกับอะไร ไม่ว่าผมจะตัดสินใจอะไรก็ตาม ผมขออนุญาตที่จะบอกว่า ผมคิดหลายตลบ คิดไม่ตกผลึกครับ ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่คนที่ให้สติผมคือ ภรรยาผมครับ

"ผมรู้สึกผิดเพราะอาสามาเล่นการเมือง ชีวิตของครอบครัวไม่มีทางเหมือนเดิม วันนั้นเขาบอกว่า ′ถ้าเราไม่ได้ต้องการให้สิ่งที่เกิดขึ้นมีผลออกมาอย่างที่เป็น ทางเดียวคือต้องแบกรับ แก้ปัญหาให้ลุล่วง ห้ามหนี ห้ามทิ้ง เผชิญหน้าและแก้ให้ได้′"


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์