เอแบคโพล“ยิ่งลักษณ์”คะแนนนิยมพุ่ง

เอแบคโพลเผยผลการสำรวจภาพลักษณ์ “ยิ่งลักษณ์” คะแนนนิยมดีขึ้น ประชาชนอยากเห็นจับคู่ดีเบต

วันนี้ (22 พ.ค.) นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยว่าผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง สำรวจภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร ครั้งที่ 2 สำรวจระหว่างวันที่ 16-21 พ.ค. จำนวน 2,332 ตัวอย่าง ใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เพชรบุรี สระบุรี นครปฐม ชลบุรี มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครราชสีมา เลย ขอนแก่น อุบลราชธานี นราธิวาส สงขลา และนครศรีธรรมราช

พบว่า ความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ต่อความเป็นผู้นำด้านต่างๆ เปรียบเทียบระหว่างนายอภิสิทธิ์  กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์  พบว่า ผลสำรวจไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในความเป็นผู้นำด้านต่างๆ ของนายอภิสิทธิ์ เพราะความแตกต่างของตัวเลขที่ค้นพบครั้งนี้ยังอยู่ในช่วงของความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 แต่หากพิจารณาเป็นค่าตัวเลขที่ค้นพบในด้านของนายอภิสิทธิ์ พบว่า ลดลงเกือบทุกตัว โดยเฉพาะด้านความเป็นคนรุ่นใหม่จากร้อยละ 42.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 36.0 

ในขณะที่ความเป็นผู้นำด้านต่างๆ ของน.ส.ยิ่งลักษณ์  มีตัวเลขเพิ่มขึ้นในทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เช่น ความอดทนอดกลั้น รู้จักควบคุมอารมณ์ จากร้อยละ 9.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.2 ความสุภาพอ่อนโยน จากร้อยละ 13.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 21.9 การได้รับการยอมรับภายในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.3 มาอยู่ที่ร้อยละ 17.7 ด้านประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 15.9 ด้านความโอบอ้อมอารี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 20.6 ด้านความเป็นผู้นำเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 20.4 ด้านความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นจาก   ร้อยละ 10.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.7 ด้านจริยธรรมทางการเมืองเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.4  

ด้านการมีวิสัยทัศน์เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15.2 มาอยู่ที่ร้อยละ 21.7 ด้านความเสียสละเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 19.1 ด้านความซื่อสัตย์สุจริตเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.3 มาอยู่ที่ร้อยละ 14.7 ด้านความเป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 29.3  ด้านความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 22.5  ด้านความยุติธรรมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.6 มาอยู่ที่  ร้อยละ 16.3 ด้านความกล้าคิดกล้าตัดสินใจเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 25.7 ด้านการแก้ปัญหา (บริหาร) ความขัดแย้งได้ดี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14.3 มาอยู่ที่ร้อยละ 19.0 ด้านความรวดเร็วฉับไวในการแก้ไขปัญหา เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 21.3 และด้านมีฐานะร่ำรวย ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 38.5 มาอยู่ที่ร้อยละ 55.3 

และเมื่อสอบถามถึงความอยากเห็นการถกแถลง (ดีเบต) แสดงวิสัยทัศน์ต่อสาธารณชน ระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์  พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.4 อยากเห็น เพราะ อยากได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ/ อยากเห็น อยากได้ยินวิสัยทัศน์จากแคนดิเดตนายกฯโดยตรง/ อยากดูปฏิภาณไหวพริบ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 40.6 ไม่อยากเห็น 

ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้อาจชี้ให้เห็นได้ว่า ตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นในส่วนของน.ส.ยิ่งลักษณ์มาจากกลุ่มคนที่ไม่มีความเห็นในการสำรวจครั้งก่อน และเป็นกลุ่มคนที่เริ่มตัดสินใจหลังจากได้รับข้อมูลข่าวสารและมีความชัดเจนของการเปิดตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะคู่แข่งตำแหน่งนายกฯ ในกระแสที่ปรากฏของสื่อมวลชน  ข้อสมมติฐานที่น่าศึกษาด้านปัจจัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของสาธารณชนต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่อาจเพิ่มขึ้นได้อีกคือ น่าจะทดลองใช้ “อาจสามารถโมเดล” ที่อดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร เคยใช้เพิ่มความนิยมในอดีตด้วยการลงพื้นที่กางเต็นท์ค้างคืนตั้งโต๊ะรับปัญหาเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร ในขณะที่นายอภิสิทธิ์  อาจจะทดลองใช้ “ทฤษฎีแก้วสามใบ”     หาเสียงกับกลุ่มกระแสที่เป็นน้ำถ่ายเทได้ง่าย มากกว่ากลุ่มตะกอนที่ค่อนข้างจะไปกวาดมาได้ยากในช่วงระยะเวลาที่จำกัด



เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์