มาร์คสั่งทบทวนความร่วมมือกัมพูชากษิตลั่นไม่ยอมให้คนไทยอยู่ใต้ลูกปืนเขมรต่อไป


นายกฯสั่งทุกกระทรวงทบทวนความร่วมมือกับกัมพูชา แต่ยังไม่ปิดด่าน-เพิ่มกำลังทหาร


นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยวันที่ 26 เมษายนว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้หารือถึงปัญหาเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกกระทรวงทบทวนกลไกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็น ด้านการค้า ด้านวัฒนธรรม และด้านการข่าว โดยให้แต่ละกระทรวงที่มีความเกี่ยวข้องประสานงานโดยตรงกับกระทรวงการต่างประเทศ แต่ยังไม่มีมาตรการปิดด่านชายแดนหรือเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่อื่นๆ แต่จะเป็นเน้นการตรวจตราประชาชนที่เดินทางระหว่างประเทศทั้งสองให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น

 โดยมาตรการแก้ปัญหาในขณะนี้จะยึด 3 แนวทาง คือ การตอบโต้ทางการทหารและผลักดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่, มาตรการทางการทูตเพื่อให้กัมพูชากลับมาสู่การเจรจาระดับทวิภาคี และการปรับมาตรการการทำงานและกลไกของกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชา

"กษิต"หมดความอดทน"กัมพูชา" สั่งทบทวนนโยบาย-ความสัมพันธ์

เมื่อวันที่ 26 เมษายน ที่รัฐสภา นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของไทยต่อเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาควาย และประสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ว่ารัฐบาลได้แจ้งไปว่าพร้อมที่จะเจรจา ซึ่งแจ้งไปยัง รมว.ต่างประเทศ ของอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และชี้แจงผ่านผู้แทนถาวรเกี่ยวกับท่าทีของไทยว่า พร้อมเจรจาทั้งระดับท้องถิ่น ระดับคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และคณะกรรมาธิการร่วม (เจซี) แต่ใน 2-3 วันที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธ โดยเฉพาะการพูดคุยระหว่างทหารในระดับท้องถิ่น


เขาอ้างว่าไม่สามารถพูดจากับเราได้ เนื่องจากทางพนมเปญยังไม่สั่งการมา จึงแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของกัมพูชาว่าไม่อยากพูดคุยกับเรา อยากจะปะทะเพียงอย่างเดียว รัฐบาลกับกระทรวงกลาโหมจึงต้องหารือกันเพื่อทบทวนนโยบายความสัมพันธ์กับกัมพูชา ขณะที่มิตรประเทศในอาเซียน รวมทั้งจีนและสหรัฐ ช่วยบอกกับผู้นำกัมพูชาว่ามีภาระหน้าที่ที่ต้องรักษาสันติภาพ ไทย-กัมพูชาต้องไม่ทำตัวเป็นปัญหาต่อประชาคมอาเซียน ประชาคมโลก” นายกษิตกล่าว


นายกษิตกล่าวต่อว่า เรื่องนี้จะพูดคุยใน ครม. เพราะนิ่งเฉยไม่ได้ นโยบายอดทน อดกลั้น ไม่โยงเรื่องหนึ่งไปเรื่องหนึ่ง และพยายามจะเจรจามาตลอดของเราก็ต้องทบทวน เพราะในช่วงสองปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ต้องเตือนความจำกันบ้าง เช่น การตั้งคดีเรื่องจารกรรม กล่าวหาว่าจะเจ้าหน้าที่การทูตของเรา พนักงานบริษัทของเรา ซึ่งเราก็อดกลั้นการตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีไทยไปเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเป็นการแทรกแซงกิจการภายใน รวมทั้งการจับนายวีระ สมความคิด และพวก 7 คน อยู่ในวิสัยที่ไม่ต้องนำตัวไปที่พนมเปญ ซึ่งเราเล่นไปตามเพลงของเขาทั้งหมดไม่จำเป็นต้องให้เกิดขึ้น เพราะส่อเจตนาที่ไม่น่ารัก


“การปะทะทุกครั้งก็ยิงเราก่อน ขอเจรจาเสร็จ ตกลงกันเรียบร้อย ก็ยิงเราก่อน ไปเช็คกับฝ่ายทหารได้ว่าเราไม่เคยเป็นผู้กระทำ หรือนำความสูญเสียให้ชาวกัมพูชา เราเป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือตลอดแนวชายแดน โรงพยาบาลของไทยให้การรักษาพยาบาลชาวกัมพูชาที่ยากไร้ ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านมนุษยธรรมอย่างเต็มที่ รวมทั้งดูแลแรงงานกัมพูชาด้วยดี จึงขอให้คนไทยเข้าใจ โดยเฉพาะจะเอาเรื่องกัมพูชามาเป็นการเมืองภายในต้องยุติ เอาผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง ที่ผ่านมาเราเล่นแร่แปรธาตุกันเองตลอดเวลา โดยเอาเรื่องกัมพูชามาเป็นเครื่องเล่น” นายกษิตกล่าว


นายกษิตกล่าวว่า ตนได้คุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ซึ่งจะลงพื้นที่ชายแดน จ.สุรินทร์ ในวันที่ 26 เมษายน และเมื่อเดินทางกลับก็จะมาพูดคุยกันอีกครั้ง ขณะที่ตนมีกำหนดการพบกันนายฮอ นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย แต่ตอนนี้การปะทะยังมีอยู่ ดังนั้น ฝ่ายกรุงพนมเปญควรต้องยึดมั่นที่จะนำสันติภาพกลับมา ต้องตระหนักว่าไทยต้องปกป้องและให้ความมั่นใจกับประชาชนของเราเรื่องความปลอดภัยเช่นเดียวกัน


“เราจะปล่อยให้เห็นสภาพที่พี่น้องตามแนวชายแดนของเราถูกกระทำจนต้องโยกย้ายถิ่นฐานภายในประเทศของเราไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนนโยบายของเราเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้จะปะทะชายแดนที่หนึ่งก็จะไม่ไปปิดด่านชายแดนที่อื่น และมีเสียงเรียกร้องจากประชาชนตามแนวชายแดนและใน กทม. ว่าทำไมรัฐบาลถึงนิ่งเฉย ไม่ยอมให้ความมั่นใจกับประชาชน จะปล่อยให้ชาวไทยอยู่กับลูกปืนของกัมพูชาต่อไปไม่ได้” นายกษิตกล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าถึงเวลาเรื่องการทบทวนการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมดใช่ไหม นายกษิตกล่าวว่า คงต้องกลับมาทบทวนทั้งหมด เพราะมีทั้งเรื่องการค้าขาย ด่านชายแดน และความร่วมมือในทุกระดับ


เมื่อถามว่า จำเป็นต้องส่งทูตกัมพูชากลับประเทศหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้นต้องดูไปทีละขั้นตอน ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร เมื่อถามว่า ถึงขั้นต้องตัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า เราจะดำเนินการด้วยเหตุผล และทำอย่างสุขุม เป็นผู้ใหญ่ เพราะไทยได้วิงวอนไปหลายครั้งแล้วว่าขอให้ผู้นำกัมพูชากลับมาสู่การเจรจา ซึ่งเราบอกไปทุกวัน

เมื่อถามว่า ต้องแจ้งไปยังกัมพูชาหรือส่งสัญญาณหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า ถ้าฟังคำพูดของตนก็คงเข้าใจว่า อะไรแปลว่าอะไร


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์