เอแบคโพลล์ เผยปุระชัย-สุดารัตน์คู่ชิงตำแหน่งนายกฯกับอภิสิทธิ์

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ 

เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เตรียมแผนการทำโพลล์ทำนายผลการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้โดยได้จัดเตรียมกำลังคนกว่า 3,000 คนทั่วประเทศแบ่งออกเป็นพื้นที่ 8 โซนตามการแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยมุ่งหวังเสริมสร้างความสมดุลของข้อมูลข่าวสารที่จะออกมาจากสำนักโพลล์และพรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และต้องการกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งที่มาถึงนี้ ในขณะที่ผลสำรวจของเอแบคโพลล์ เรื่อง บุคคลผู้เหมาะสมแข่งขันกับ นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีศึกษาความคิดเห็นของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 2,154 ตัวอย่าง โดยมีระยะเวลาดำเนินการในระหว่างวันที่ 15 – 17 มีนาคม 2554 พบว่าส่วนใหญ่เกินกว่าร้อยละ 80 ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเป็นประจำทุกสัปดาห์
 
เมื่อสอบถามความคิดเห็นของตัวอย่างกรณีถ้าจะมีการแข่งขันในการเลือกตั้ง จะสนับสนุนใครเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
 
ผลการสำรวจพบว่า ร้อยละ 41.2 ระบุสนับสนุน ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ร้อยละ 38.4 ระบุสนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  และร้อยละ 38.4 เช่นเดียวกันที่ระบุสนับสนุนนายชวน หลีกภัย ร้อยละ 35.2 ระบุสนับสนุนนายกรณ์     จาติกวณิช  ร้อยละ 34.7 ระบุสนับสนุนนายมิ่งขวัญ  แสงสุวรรณ  ร้อยละ 32.7 ระบุสนับสนุนนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ร้อยละ 32.3 ระบุสนับสนุน ร.ต.อ.เฉลิม  อยู่บำรุง  ร้อยละ 20.8 ระบุสนับสนุนนายเนวิน  ชิดชอบ และร้อยละ 15.1 ระบุสนับสนุนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
 
นอกจากนี้เมื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณสมบัติของหัวหน้าพรรค/ผู้บริหารที่ต้องการ ถ้ามีพรรคการเมืองพรรคพรรคใหม่เกิดขึ้น 

ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ร้อยละ 65.4  ระบุว่าต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ร้อยละ 15.8  ระบุมีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ ร้อยละ 15.5 ระบุยึดมั่นในกติกา กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและความถูกต้อง ร้อยละ 11.8 ระบุกล้าคิดกล้าตัดสินใจ พูดจริงทำจริง  ร้อยละ 11.7 มีความอดทน เสียสละเพื่อส่วนรวม มุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน ร้อยละ 11.7  เข้าถึงประชาชน ไม่ถือตัว ใกล้ชิดประชาชน รับฟังเสียงประชาชน   นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติด้านอื่นๆ ที่ประชาชนเห็นว่าหัวหน้าพรรค หรือผู้บริหารพรรคควรมี  อาทิเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าพวกพ้อง  มีความเป็นผู้นำ มีความรับผิดชอบ มีอุดมการณ์ที่ดี มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ มีนโยบายการทำงานที่ดี มีความสุขุม รอบคอบ มีเหตุผล ตามลำดับ


สำหรับปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ต้องการให้รัฐบาลชุดต่อไปเร่งแก้ไขนั้นพบว่า ร้อยละ 72.3 ระบุปัญหาเศรษฐกิจ

รองลงมาคือร้อยละ 15.4 ระบุปัญหาความรักความสามัคคีของคนในชาติ ร้อยละ 9.8 ระบุปัญหาการว่างงาน  ร้อยละ 9.0 ระบุปํญหาความมั่นคงของประเทศ/ปัญหาชายแดน ร้อยละ 8.6 ระบุปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ความซื่อสัตย์สุจริตของนักการเมือง  ร้อยละ 7.8 ระบุปัญหายาเสพติด  นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ อาทิ ปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาของประชาชน  ปัญหาด้านการคมนาคมขนส่ง  ปัญหาด้านสวัสดิการสังคม การรักษาพยาบาล ปัญหาด้านพลังงาน พลังงานทดแทน ความไม่ยุติธรรมในสังคม ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เป็นต้น
 

เมื่อสอบถามถามต่อไปถึงปัญหาความเดือดร้อนของตนเองที่อยากให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ไขนั้นพบว่าผู้ตอบระบุปัญหาปากท้อง 

ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก คิดเป็นร้อยละ 64.8   ปัญหาไม่มีงานทำ คิดเป็นร้อยละ 10.5   ปัญหาความรักความสามัคคีความสงบสุขของบ้านเมือง คิดเป็นร้อยละ 8.0 ปัญหาจราจร คิดเป็นร้อยละ 6.3 ปัญหาสวัสดิการ สุขภาพ คิดเป็นร้อยละ 6.1  ปัญหายาเสพติด คิดเป็นร้อยละ 5.0 ปัญหาคุณภาพด้านการศึกษาของประชาชน คิดเป็นร้อยละ 4.6 และนอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ อาทิ ปัญหาพลังงาน เชื้อเพลิง ปัญหาชายแดนและความมั่นคงประเทศ ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาหนี้สิน หนี้นอกระบบ ปัญหาคอรัปชั่น เป็นต้น


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์