โยง ทักษิณ พันข้อหา ฆ่าตัดตอน ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด...!

ตกเป็นจำเลยในเวทีโลก .........


ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยได้ตกเป็นจำเลยในเวทีโลก ในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการประกาศวาระแห่งชาติ "สงครามกับยาเสพติด" ขั้นแตกหัก

จนเป็นเหตุให้ช่วง 3 เดือนของการดำเนินนโยบาย แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์-30 เมษายน 2546 มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นกว่า 2,500 ราย

แม้ในจำนวนผู้ที่ถูกฆ่าตัดตอนจะมีนักค้ายาเสพติดรายเล็กรายน้อย ตลอดจนผู้ที่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดปะปนอยู่ถึง 1,164 คน


ฆาตกรรมไปฟรีๆ ถึง 1,432 ราย .........

แต่ก็มีการพิสูจน์ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดถูกฆาตกรรมไปฟรีๆ ถึง 1,432 ราย

ที่สำคัญคดีไหนที่จับคนร้ายไม่ได้ ก็จะถูกสรุปไปอย่างเสียมิได้ว่าเป็นการ "ฆ่าตัดตอน"...!!!

กระทรวงยุติธรรมได้สั่งการไปยังดีเอสไอ รื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ โดยโอนงานจาก สตช.ตามคำสั่งของรัฐบาล ประเดิม 4 คดีแรก ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติร้องขอ


เพื่อสาวไปให้ถึงตัวผู้บงการ ..........

ชาญชัย ลิขิตจิตถะ รมว.ยุติธรรม

จุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อสาวไปให้ถึงตัวผู้บงการ ผู้ใช้ หรือผู้ยุยงส่งเสริม ให้จัดชุดเฉพาะกิจออกไล่ล่าฆ่าตัดตอน เพื่อลดยอดบัญชีดำ

ทั้ง ชาญชัย ลิขิตจิตถะ รมว.ยุติธรรม และ จรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวง เห็นร่วมกันในการสั่ง ป.ป.ส.จัดหมวดหมู่ของคดีที่เกิดขึ้น เพื่อตั้งข้อสังเกตเป็นรายคดี

ไม่ใช่..."ปฏิบัติการเหมาเข่ง"...!!!

เมื่อได้ความชัดเจนเกี่ยวกับผู้ลงมือฆ่าตัดตอน หากคนร้ายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะขยายผลทางคดีต่อไปถึงนโยบายรัฐบาลในขณะนั้น

หลายต่อหลายครั้งในการประกาศสงครามกับยาเสพติดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เข้มข้มดุดันชนิด "เลือดพล่าน"



ท่านต้องใช้กำปั้นเหล็ก .........

"สำหรับคนที่ค้า ท่านต้องใช้กำปั้นเหล็ก ใช้ความเด็ดขาดอย่างชนิดไม่ปรานี..." หนึ่งในออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อยของปฏิบัติการ

"การทำงานหนักในช่วง 3 เดือน ถ้าจะมีผู้ค้ายาตายไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ บางทีถูกยิงตายแล้ว ต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย ผมคิดว่าเราต้องเหี้ยมพอกัน...


เป็นเรื่องจำเป็นที่มีการบาดเจ็บบ้าง...

...เรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญที่อันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ที่เราต้องทำสงครามสู้รบให้แตกหัก และเป็นเรื่องจำเป็นที่มีการบาดเจ็บบ้าง...

...ที่อยู่ของขบวนการค้ายาเสพติดจึงมีอยู่ 2 ที่ คือ ถ้าไม่ไปคุก ก็ไปวัด"

ในทัศนะของนักกฎหมายยังมองว่า แม้การมอบนโยบายที่ออกแนวดุดันของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะชวนให้คิดไปว่า "นาย" เห็นดีเห็นงามให้ยิงทิ้ง

หรือไฟเขียวให้ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจกับผู้ที่มีรายชื่อในบัญชีดำเหล่านั้นก็ตาม

แต่ในทางคดีอาญาคำกล่าวนี้เป็นเพียงคำเปรียบเปรย หรือเป็นแค่พยานแวดล้อมที่กล้ำกึ่งเท่านั้น


กลับมีการนำไปใช้แบบ เฮงซวย ......

มิสามารถนำไปสู่การตั้งข้อกล่าวหา ฐานยุยง ส่งเสริม ให้มีเกิดปฏิบัติการนอกกฎหมาย ฆ่าตัดตอนในทุกพื้นที่ของประเทศไทยได้...!!!

ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาอาจต่อสู้คดีได้ว่า นโยบายสงครามกับยาเสพติดเป็นเจตนาดีที่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนทั้งประเทศ

แต่เมื่อนโยบายแปรไปสู่การปฏิบัติ กลับมีการนำไปใช้แบบ เฮงซวย ทั้งจัดทำบัญชีดำ สร้างสถิติคดี เป็นต้น


ขาดประจักษ์พยานที่ชัดแจ้ง ......

คำกล่าวในการมอบนโยบายจึงไม่ใช่หลักฐานที่จะมัดตัวผู้ยุยงส่งเสริมให้มีการลดเป้าบัญชีดำ...เว้นแต่จะมีผู้ต้องหายอมรับสารภาพเปิดปากซัดทอด...???

การรวบรวมหลักฐานเพื่อลากโยง พ.ต.ท.ทักษิณ มาเป็นผู้ต้องหาจึงเป็นเรื่องที่ยากกว่า หรือยากพอๆ กับคดีอุ้มฆ่าทนาย สมชาย นีละไพจิตร

เนื่องด้วยทั้ง 2 คดีขาดประจักษ์พยานที่ชัดแจ้ง มีแต่พยานแวดล้อม และข้อสันนิษฐานที่ศาลอาจไม่รับฟังก็เป็นได้


เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาความจริงหรือพยานหลักฐาน ......

หากจะมองว่ายุทธวิธีของกระทรวงยุติธรรมในการค้นหาคำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเล่นเกมการเมือง เพื่อเล่นงานขั้วอำนาจเก่า

แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาความจริงหรือพยานหลักฐาน เพื่อให้สอดรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสงครามฆ่าตัดตอนเหล่านั้น...

ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดถูกดำเนินคดีอาญา จากการใช้อำนาจนอกกฎหมายแม้แต่รายเดียว...!!!


สำนวนคดีกลับสรุปว่าเป็นฝีมือของ "ไอ้โม่ง" .....

แม้แต่คดียิงพ่อค้ายาบ้า แต่พลาดไปถูก น้องฟลุค เด็กชายวัย 9 ขวบเสียชีวิตในรถยนต์ รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าเป็นฝีมือใคร แต่สำนวนคดีกลับสรุปว่าเป็นฝีมือของ "ไอ้โม่ง"

หากรัฐบาลชุดปัจจุบันแสดงออกถึงการเอาจริงเอาจัง ในการคืนความยุติธรรมให้ผู้บริสุทธิ์ในตัวอย่าง 4 คดีแรก

พร้อมทั้งกระบวนการคุ้มครองพยานเหยื่อฆ่าตัดตอน ไม่ให้ถูก "ไอ้โม่ง" ตามล้างตามเช็ดหรือฆ่าปิดปาก

ก็คงจะมีเหยื่อฆ่าตัดตอนอีกนับ 100 คดี ชักแถวเข้าร้องขอความเป็นธรรม จากการบาดเจ็บล้มตายของญาติพี่น้อง และการถูกยึดบ้าน อายัดทรัพย์สินไปตรวจสอบ


บทพิสูจน์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลนนท์

อีกหนึ่งบทพิสูจน์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลนนท์ นายกรัฐมนตรี ที่จะมานั่งหัวโต๊ะบัญชาการในการประชุมบอร์ดคดีพิเศษด้วยตนเองในวันที่ 14 ธันวาคมนี้

เพื่อคืนความยุติธรรมไปยังผู้บริสุทธิ์ ที่ตลอดชีวิตนี้ไม่เคยข้องแวะกับยาเสพติดแม้แต่นิดเดียว แต่ต้องมารับเคราะห์จากปฏิบัติการที่ไร้ความปรานีเยี่ยงนี้...!!!






เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์