ชวนลั่นศาลไม่ใช่เด็กหัดคลาน เชื่อถือได้

"ชวน"ระบุบรรดาคนวิจารณ์ตุลาการศาลรธน.เป็นความรู้สิ่งที่ดี แต่หากสอนศาลนั้น อุ้มศาลผ่านประสบการณ์มาอายุ60ปี "ไม่ใช่เด็กหัดคลานใหม่ๆ"

"คนที่จะวิจารณ์ ควรต้องรู้ว่าศาลฯ ได้ทำผิดกระบวนการพิจารณาหรือไม่ ถ้าไม่ผิดวิธีกระบวนพิจารณาแล้ว ผมเชื่อว่าดุลพินิจของศาลที่ตัดสินเป็นไปด้วยความสุจริตใจ เพราะยุคนี้ไม่มีแล้วคำว่า 2 มาตรฐาน เนื่องจาก 1. ประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรควิ่งเต้น และ 2. ไม่สามารถทำได้ เพราะสื่อมวลชนจับตามอง แต่ผมยอมรับว่าความ 2 มาตรฐานการพิจารณามีจริง แต่เป็นสมัยคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกศาลพิจารณาคดีซุกหุ้น เมื่อเทียบกับคดีของคุณประยุทธ์ มหากิจศิริ นักธุรกิจในข้อมูลเดียวกัน แต่คุณทักษิณถูกตัดสินว่าไม่ผิด ซึ่งตรงข้ามกับคุณประยุทธ์ที่ถูกตัดสินว่าผิด ซึ่งสมัยนั้นสื่อมวลชนไม่กล้าวิจารณณ์ ผมก็แปลกใจว่าสื่อที่ไม่กล้าวิจารณ์ในสมัยนั้นแต่กลับมาวิจารณ์ตอนนี้ ผมเข้าใจว่าตอนนี้สื่ออิสระ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าไปแทรกแซง" นายชวน กล่าว


นายชวน กล่าวอีกว่า สำหรับบรรดาผู้วิจารณ์ หากวิจารณ์เพื่อเป็นความรู้เป็นสิ่งที่ดี แต่ถึงขั้นไปสอนศาลว่าต้องทำอย่างนั้นหรืออย่างนี้

ตนมองว่าศาลไม่ใช่เด็กหัดคลานใหม่ๆ เพราะท่านทำงานมาจนอายุ 60 ปี ผ่านประสบการณ์ชีวิตผ่านการทำคดีมา 30 - 40 ปีแล้ว ถือว่ามีความเป็นมืออาชีพ คดีนี้ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ และการที่บางคนไม่เคยทำอะไรไปวิจารณ์คนที่ทำงานขนาดนั้น บางครั้งต้องระวัง ที่สำคัญไม่อยากให้คนทำงานอย่างศาลฯ ถูกวิจารณ์ จนเสียขวัญ เพราะการทำงานของศาลฯ นั้นเชื่อถือได้

 ผู้สื่อข่าวถามว่าคนที่ไม่เข้าใจกระบวนการทำงานพยายามปลุกมวลชนให้ออกมาแสดงพลังคัดค้าน

นายชวน กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้   แต่ในใจตนควรจะทำหรือวิจารณ์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตามตนยอมรับว่าขณะนี้มีความไม่เข้าใจจำนวนมาก ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่อยากให้พูดมาก เพราะตนเห็นข่าวว่านายกฯ ได้แต่งตั้ง นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ชี้แจง แต่ปัญหาคือ นายองอาจรู้เรื่องหรือไม่


เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่ที่มีความพยายามโยงคำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญ ไม่ยุบพรรคไปเป็นประเด็นโจมตีทางการเมือง

นายชวน กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คงหนีไม่พ้น พวกนั้นก็ตั้งหลักอยู่แล้ว และเป็นตัวปัญหาตั้งแต่ต้น ที่กดดัน คณะกรรมการการเลือกตั้ง อย่างรุนแรง ผมอ่านข่าวยังตกใจเลย เพราะถึงขั้นขู่เอาชีวิต การขู่แบบนี้หากใครไม่กลัวก็ไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว”

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการต่อสู้ในดคีเงินบริจาคฯ 258 ล้านบาท นายชวน กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีใครในทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคหารือกัน

เนื่องจากต้องการพักไว้ก่อน ซึ่งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ก็จะขอกลับบ้านนอกก่อน เบื้องต้นคาดว่าหลังจากที่ตนกลับมาที่กรุงเทพฯ จะนัดคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อพูดคุยกัน

"ก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าทีมกฎหมายจะยื่นหนังสือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาจำหน่ายคดี 258 ล้านบาท คุณบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความไม่พอใจมาก เพราะทีมกฎหมายไม่เคยพูดกันในเรื่องนี้ เอาเป็นว่าเมื่อศาลนัดมาก็คุยกันอีกที"นายชวน กล่าว

 เมื่อถามถึงกรณีที่หลายฝ่ายกดดันให้คณะกกต.ลาออก นายชวน ปฏิเสธที่จะวิจารณ์ หลังจบสัมภาษณ์นายชวน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า

"คนที่ให้ความเห็นวิจารณ์เพื่อความรู้เป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าไปวิจารณ์ตำหนิศาล เพราะว่าศาลไม่ได้มีอะไรที่ช่วยหรือไม่ช่วยพรรค ท่านได้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ความจริงมีข้อต่อสู้อีกหลายชั้น เมื่อศาลตัดสินก็จบไปชั้นหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้มีคนไปสอนศาลว่าคิดจะตัดสินเช่นนี้ก็ไม่ควรเสียเวลาไปสืบพยาน ซึ่งผมว่าหากไม่สืบพยานแต่ตัดสินเลยก็ถูกตำหนิอีก"  

 ด้านแหล่งข่าวจากทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรค เปิดเผยว่าในการต่อสู่คดีเงินบริจาค 285 ล้านบาท นั้น มีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนตัวหัวหน้าทีมสู้คดี

จากนายชวน ไปเป็นนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษา เนื่องจากที่ผ่านมานายชวนในฐานะหัวหน้าทีม ไม่มีเวลาพักผ่อนและทำธุระส่วนตัว
เมื่อถามถึงกรณีที่ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยผลการวินิจฉัยของคณะตุลาการเสียงข้างมาก ที่ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นประโยชน์ต่อการสู้คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทได้หรือไม่ แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวว่า ถือว่าเป็นการย้ำให้เห็นถึงความชัดเจนในคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าหากนายทะเบียนไมได้นำเรื่องเข้าที่ประชุมของกกต. ก็ไม่สามารถที่จะสรุปเป็นความเห็นของนายทะเบียนตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 93 เพื่อยื่นเรื่องต่อได้  

 "ดังนั้นเมื่อไม่ได้มีการทำความเห็นในส่วนของกกต.ทั้งคณะ ก็เท่ากับว่าไม่ครบตามกระบวนกฎหมาย และในคดีเงินบริจาค 285 ล้านบาท ก็เช่นกัน หากเป็นการทำความเห็นเฉพาะตัวตามหลักกฎหมายแล้วก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน ดังนั้นผลการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงมีผลผูกพันกับคดีเงินบริจาค 285 ล้านบาท" แหล่งข่าวทีมกฎหมาย กล่าว


เมื่อถามต่อว่าประเมินผลการต่อสู้คดีเงินบริจาค 285 ล้านบาท ว่าอย่างไร แหล่งข่าวกล่าวว่า คงไม่สามารถประเมินได้

เพราะอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล แต่ส่วนตัวเห็นว่าหากนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นคนเดียวกันกับคดีเงิน 29 ล้านบาท และไม่ได้มีการทำความเห็นโดยเป็นข้อสรุปจากที่ประชุมกกต.ทั้งคณะ ปรากฎการณ์ของคดีเงินบริจาค 285 ล้านบาทก็จะออกมาในแนวเดียวกัน


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์