“อภิสิทธิ์” ตั้งเป้าเพิ่มงบวิจัยเป็น 1% ของจีดีพี เผยอัดงบไทยเข้มแข็ง 1.2 หมื่นล้านหนุนวิจัย เดินหน้าตั้งมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ 9 แห่ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ก้าวต่อไปของการปฏิรูประบบวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน” วานนี้ (8 พ.ย.) โดยระบุว่า รัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มงบวิจัยให้ได้ 1% ของจีดีพี จากปัจจุบันที่งบประมาณวิจัยอยู่ที่ 0.2% ของจีดีพี และภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็ง 2555 รัฐบาลจัดสรรงบสำหรับการวิจัย 1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้ายกระดับสถาบันอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยที่มีอยู่เป็นมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์จำนวน 9 แห่ง นอกจากนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนให้มีการสร้างโรงเรียนวิทยาศาสตร์ให้กระจายตัวไปทั่วประเทศ รวมทั้งการสร้างห้องสมุดวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนที่มีศักยภาพ อีกทั้งให้ความสำคัญงานวิจัยพื้นฐานที่นำไปสู่การต่อยอดหรือสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต
นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า รัฐบาลเตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการจูงใจเพื่อส่งเสริมการวิจัยในภาคเอกชน
เพราะพบว่าหลักเกณฑ์มีความยุ่งยาก และการที่เอกชนไปขอนำค่าใช้จ่ายการวิจัยไปหักภาษีซึ่งเป็นเงินไม่มาก แต่กลับถูกกรมสรรพากรตรวจสอบบัญชีอย่างละเอียด ทำให้เอกชนไม่มีแรงจูงใจในการวิจัย ดังนั้น รัฐบาลจะผลักดันให้เอกชนทำการวิจัยมากขึ้น เพราะเอกชนเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าโอกาสทางธุรกิจอยู่ที่ไหน หากรัฐเข้าไปชี้นำจะพบว่าโอกาสล้มเหลวจะมีมากกว่าความสำเร็จ และหากเอกชนต้องการการสนับสนุนจากรัฐ เช่น นักวิจัยในหน่วยงายภาครัฐ รัฐบาลก็พร้อมให้การสนับสนุนการเชื่อมโยงดังกล่าว
พร้อมกันนั้น รัฐบาลยังจะสนับสนุนให้บริษัทที่มีการวิจัยที่ทำให้องค์กรมีความเข้มแข็ง
เช่น บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวอย่างในการสร้างแรงบันดาลใจให้เอกชนรายอื่นๆรวมทั้งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ความสำคัญกับงานวิจัย อีกทั้งรัฐบาลจะมีการจัดทำฐานข้อมูลงานวิจัยและรายชื่อนักวิจัยเพื่อต่อยอดงานวิจัยไปสู่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งสนับสนุนต่อยอดการวิจัยจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ชุมชน
นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า รัฐบาลเตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการจูงใจเพื่อส่งเสริมการวิจัยในภาคเอกชน
เพราะพบว่าหลักเกณฑ์มีความยุ่งยาก และการที่เอกชนไปขอนำค่าใช้จ่ายการวิจัยไปหักภาษีซึ่งเป็นเงินไม่มาก แต่กลับถูกกรมสรรพากรตรวจสอบบัญชีอย่างละเอียด ทำให้เอกชนไม่มีแรงจูงใจในการวิจัย ดังนั้น รัฐบาลจะผลักดันให้เอกชนทำการวิจัยมากขึ้น เพราะเอกชนเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าโอกาสทางธุรกิจอยู่ที่ไหน หากรัฐเข้าไปชี้นำจะพบว่าโอกาสล้มเหลวจะมีมากกว่าความสำเร็จ และหากเอกชนต้องการการสนับสนุนจากรัฐ เช่น นักวิจัยในหน่วยงายภาครัฐ รัฐบาลก็พร้อมให้การสนับสนุนการเชื่อมโยงดังกล่าว
พร้อมกันนั้น รัฐบาลยังจะสนับสนุนให้บริษัทที่มีการวิจัยที่ทำให้องค์กรมีความเข้มแข็ง
เช่น บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวอย่างในการสร้างแรงบันดาลใจให้เอกชนรายอื่นๆรวมทั้งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ความสำคัญกับงานวิจัย อีกทั้งรัฐบาลจะมีการจัดทำฐานข้อมูลงานวิจัยและรายชื่อนักวิจัยเพื่อต่อยอดงานวิจัยไปสู่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งสนับสนุนต่อยอดการวิจัยจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ชุมชน
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
