56ล้านเยียวยาสลายม็อบ


พธม.ล้อมจับนปช.อ้างยิงหนังสติ๊กใส่


“แม่น้องโบว์” พร้อมทนายพันธมิตรฯ ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษก ตร. กรณีให้ข่าวหมิ่นประมาทผู้ตายว่าหนีบระเบิดเข้ามาเอง  ขณะที่กลุ่ม นปช. จากสนามหลวงกำลังจะไปปักหลักที่พรรคประชาธิปัตย์ ขับผ่านใกล้ทำเนียบฯ ถูกการ์ดเข้าล้อมเอาตัวไปทำร้าย ตำรวจต้องเข้าเจรจาขอตัวออกมาได้พบถูกทำร้ายอ่วม ด้านการ์ดพันธมิตรฯ อ้างเข้ามายั่วยุก่อน  ส่วน “ทรงกิตติ” วอนประชาชนอย่าดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องการเมือง เตือนคนไทยลดทิฐิ-ประนีประนอม สยบปัญหาขัดแย้ง ระบุ “ทักษิณ” โฟนอินไม่มีอะไร ด้าน “อภิสิทธิ์” ไม่ติดใจเอาเรื่องถูกปาอึที่ จ.อุบลฯ อ้างโดนเฉี่ยว ๆ ไม่รู้อะไรปะทะกับรถ ในขณะที่แกนนำกลุ่มชักธงรบ คู่ปรับพันธมิตรฯ ปฏิเสธไม่ทราบเรื่องเพราะไม่นิยมความรุนแรง ด้านผู้ว่าฯ อุบลฯ สั่งวางมาตรการรับวีไอพีแม้จะแจ้งให้ทราบหรือไม่ก็ตาม  ส่วนที่ อ.ขามสะแกแสง โคราช กลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง รวมพลังจับมือร้องเพลงรักกันไว้เถิด เรียกทุกฝ่ายรักสามัคคี  


พันธมิตรฯขยับรั้วกั้น

 
ความคืบหน้าการชุมนุมของกลุ่ม   พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ การ์ดพันธมิตรฯ ได้ถอยร่นรั้วกั้นแผงเหล็กและยางรถยนต์ลงมาประมาณ 500 เมตร เพื่อเปิดทางให้ทหารรักษาพระองค์ กว่า 3 พันนาย ที่เข้าร่วมซ้อมพิธีสวนสนาม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ได้พักผ่อนในบริเวณดังกล่าว 
 
ส่วนเวลา 10.00 น. ที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบฯ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข สามแกนนำพันธมิตรฯ พร้อมด้วย นายวสันต์ วานิชย์ ผู้ประสานงานกลุ่มเครือข่ายเยาวชนกู้ชาติ ร่วมแถลงข่าว โดย นายวสันต์ กล่าวว่า วันนี้เวลา 14.00 น. จะนำกลุ่มนักศึกษาจาก 4-5 มหาวิทยาลัย เดินขบวนไปยังกองทัพบก เพื่อยื่นหลักฐานและข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล หรือเว็บไซต์ที่หมิ่นสถาบัน ให้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน 


แกนนำส่งทนายดูแลคนเจ็บ
 
ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรม นายสมชาย ศรีประจักษ์ การ์ดอาสาพันธมิตรฯ ว่า ตำรวจได้กล่าวหาว่า นายสมชาย พกยาเสพติด จึงได้ทำการวิสามัญ ทั้ง ๆ ที่นายสมชาย ไม่ได้พกอาวุธแต่อย่างใด จึงแสดงให้เห็นว่าตำรวจใช้อำนาจที่ป่าเถื่อน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ จึงต้องมีการพิสูจน์ในชั้นศาลให้ถึงที่สุด ส่วน พล.ต.จำลอง กล่าวเสริมว่า นายสมชาย จะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสิทธิทำการวิสามัญ ทำไมไม่มีการออกหมายจับก่อน เพื่อสอบสวนในชั้นศาล ขืน ยังปล่อยเรื่องนี้ไป บ้านเมืองก็แย่แน่
 
ขณะที่ นายพิภพ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามคุกคาม และข่มขู่ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. ที่โรงพยาบาล ทางพันธมิตรฯจึงมอบหมายให้ทนายจัดการเรื่องการให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะว่าให้ผู้บาดเจ็บไปให้ปากคำ อาจจะเปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาแทนได้ ดังนั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ควรออกมาแถลงข่าวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจน


ระบุการเสวนาก็ช่วยไม่ได้
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า แนวทางการเจรจา 4 ฝ่าย ประกอบด้วย กลุ่ม นปช. พันธมิตรฯ ฝ่ายค้าน และรัฐบาล หากมีการเจรจาพันธมิตรฯจะมีการเข้าร่วมหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ถ้ามีใครมาเจรจาตอนนี้ก็เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของพันธมิตรฯเท่านั้น ซึ่งการเจรจาครั้งนี้กลุ่ม นปช.ไม่เกี่ยวกัน เพราะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับวัตถุประสงค์ของพันธมิตรฯ โดยในขณะนี้น่าจะเป็นรัฐบาล มากกว่าที่จะเป็นผู้ที่มาเจรจากับพันธมิตรฯ ส่วนการเสวนาที่นักวิชาการเสนอมา ตนคิดว่าถ้ามีการเสวนาแล้วเกิดผล พันธมิตรฯก็คงไม่ต้องมาชุมนุมเช่นนี้ “ถ้ามีการเสวนาแล้วมันแก้วิกฤติได้ เราจะมาบ้ามาโง่ทำไม และมากินมานอนอยู่อย่างนี้ทำไม หากการเสวนาได้ผล เราพร้อมทำทันที”


เปิดการจราจรใครรับผิดชอบ 
  
ส่วนจะมีการเปิดเส้นทางการจราจรรอบบริเวณทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ตนต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน เนื่องจากพันธมิตรฯมีความจำเป็นที่ต้องชุมนุมต่อไป อย่างไรก็ตามตนก็เห็นใจการจราจร เพราะทำให้รถติด แต่เมื่อเทียบกันแล้วกับการแก้ไขปัญหาของวิกฤติชาติ เราต้องเลือกที่จะเสียสละ ทั้งนี้ การชุมนุมของพันธมิตรฯผ่านมาถึง 150 วัน ซึ่งผู้ชุมนุมต้องอยู่ในทำเนียบรัฐบาลอย่างยากลำบาก ไม่ได้สุขสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน แต่ที่  ทำอย่างนี้ก็ทำเพื่อประเทศ
 
“หากพันธมิตรฯมีการเปิดเส้นทางรอบทำเนียบรัฐบาลเมื่อเกิดปัญหา หรือมีการบุกรุกเข้ามาทำร้ายกลุ่มผู้ร่วมชุมนุม ถามว่าใครจะมา ปกป้องและรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นสังคมต้องยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ ถึงแม้การเดินทางมาเรียนของนักเรียนจะยากขึ้น แต่ก็เป็นการเสียสละที่งดงาม ซึ่งผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ต้องเข้าใจ” พล.ต.จำลอง กล่าวและว่า หากมีการเปิดเส้นทางการจราจร แล้วมีผู้เข้ารับผิดชอบและดูแลความปลอดภัยให้กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างจริงจัง ตนก็ยินดีให้ความร่วมมือและยอมเปิดเส้นทางเพื่อการจราจร
 
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันพฤหัสบดีที่ 30 ต.ค. ทางพันธมิตรฯจะเคลื่อนขบวนตามยุทธศาสตร์ดาวกระจาย เพื่อแจกซีดีตำรวจทำร้ายประชาชน เวลา 10.00 น. ตั้งแต่สถานทูตอังกฤษ ไปทางถนนสุขุมวิท จนถึงห้างดิเอ็มโพเรียม


5 นปช.ถูกการ์ด พธม.ล้อมจับ

 
เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.อ.วิบูลย์ยุทธ สันทัดเวช ผกก.สน.นางเลิ้ง ได้รับแจ้งจากการ์ด พันธมิตรฯว่า มีกลุ่ม นปช.เข้ามาก่อกวนในที่ชุมนุม จึงพร้อมกำลังไปตรวจสอบ พบกลุ่ม นปช.สวมเสื้อยืดสีแดง 5 คน พร้อมด้วยรถปิกอัพอีซูซุ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ยฉ 3230 กรุงเทพมหานคร สภาพพังยับเยิน ติดเครื่องขยายเสียงและมีมือตบตกอยู่ในรถ ถูกคุมตัวอยู่จึงเข้าเจรจากับแกนนำอยู่นานกว่า 2 ชม. จึงสามารถนำตัวออกมาที่ สน.นางเลิ้งได้ สำหรับ 5 คนประกอบด้วย นายวิเชียร จรุงกิจอนันต์ อายุ 67 ปีคนขับรถ นายสมบัติ ขยันชุมชน อายุ 52 ปี น.ส.ระ ฝาชัยภูมิ อายุ 52 ปี น.ส.สุนันท์ มณีรัตน์ อายุ 54 ปี และนางนะนิตย์ นามนู อายุ 70 ปี ทั้งหมดอยู่ในสภาพสะบักสะบอม มีรอยถูกทำร้ายตามร่างกายและใบหน้า 
 
นางนะนิตย์ เปิดเผยว่า พวกตนประมาณ 10 คนกำลังจะเดินทางไปที่หน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่รถวิ่งมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ได้ถูกกลุ่มพันธมิตรฯกว่า 20 คนเข้ามาล้อมรถ บังคับให้ลงจากรถ   แล้วรุมทำร้าย หลายคนวิ่งหลบหนีไปได้ ส่วนพวกตัวเองอายุมากหนีไม่ทันจึงถูกจับตัวลากไปทุบตีด้วยไม้ ตบหน้าหลายครั้ง ตนเองก็ถูกตบหน้าและใช้ไม้ตีจนเจ็บไปหมด บังคับให้บอกว่าได้รับค่าจ้างมาเท่าไร ซึ่งพวกตนบอกว่าไม่มีใครจ้างพวกตนมาเอง และไม่ได้มาก่อกวนแต่กำลังจะไปพรรคประชาธิปัตย์ แต่รถพามาทางนี้เอง


คนขับรถยอมรับว่าหลงทาง

 
ด้าน นายวิเชียร คนขับรถ กล่าวว่าได้รับค่าจ้าง 400 บาทให้พา นปช.จากสนามหลวงไปส่งที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่ตนไปไม่ถูก คิดว่าเลี้ยวมาทางหน้าสนามม้า แล้วจะเลี้ยวเข้าถนนพระราม 5 แต่มาถูกล้อมกรอบเสียก่อน เนื่องจากตนไม่ชำนาญทางนั่นเอง 
 
ทางด้าน พ.ต.อ.วิบูลย์ยุทธ เปิดเผยว่าในเบื้องต้น กลุ่ม นปช.แต่งกายเห็นได้ชัดเจน และคงจะไม่ชำนาญทางจึงเลี้ยวไปทางนั้น เลยถูกการ์ดพันธมิตรฯจับตัวไป คงไม่มีเจตนาจะเข้าไปก่อกวน ในเบื้องต้นได้สอบปากคำไว้และลงบันทึกประจำวันไว้หมดแล้ว และหากประสงค์จะแจ้งความกรณีที่ถูกทำร้าย ก็จะรับแจ้งต่อไป ในขณะที่การ์ดพันธมิตรฯ ก็อ้างว่า กลุ่ม นปช. ผ่านมายิงหนังสติ๊กใส่แล้วขับรถหนี จึงวิ่งไล่จนจับตัวได้ดังกล่าว 


“อภิสิทธิ์” เหน็บ นายกฯ เฉย
 
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรค กล่าวถึงการที่รัฐบาลจะจัดงานทำบุญประเทศในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียดว่าจะเป็นวันใด แต่ที่จริงการทำบุญเป็นงานที่ดีอยู่แล้ว แต่การแก้ปัญหาจริง ๆ นั้นเราต้องให้รัฐบาลได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบและความเข้าใจถึงประเด็นพื้น ฐานของปัญหา ซึ่งจะดีที่สุด ส่วนกรณีที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ระบุว่าหวังจะให้มีคนไปเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯนั้น ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า ถ้านายกฯอยู่เฉย ๆ ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ถ้านายกฯยอมรับฟังเสียงท้วงติงและแสดงออกถึงความรับผิดชอบในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา มันก็เริ่มต้นได้ แต่นายกฯไม่ขยับเลย แล้วจะไปหวังว่าจะมีกระบวนการอะไรขึ้นมาเอง ก็เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลไม่ได้แสดงความจริงใจในเรื่องต่าง ๆ


“อภิสิทธิ์” อ้างถูกขว้างแต่ไม่ถูก
               
      
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าว ถึงข่าวที่ว่ารถตู้ที่ นายอภิสิทธิ์นั่ง ถูกปาถุงอุจจาระที่ จ.อุบลราชธานี ระหว่างเดินทางไปขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า มีหลายคนเห็นข่าวและเป็นห่วง ก็ได้สอบถามมา ทั้งนี้ช่วงที่ตนนั่งรถเข้าไปสนามบิน ได้มีรถมอเตอร์ไซค์ขับสวนมาและมีการปาถุงหรืออะไรก็ไม่ทราบ แต่ก็โดนเฉียด ๆ รถ แต่ไม่ได้มีร่องรอยใด ๆ เพราะเราก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร จากนั้นตนได้ซื้อแหนม ซาลาเปา และขนมจีบ รวมถึงเดินทักทายประชาชนด้วย และเข้าไปสนามบินตามปกติ ทั้งนี้ ตลอดทั้งวัน ตนได้เดินทางไปที่จ.ยโสธร อุบลราชธานี และศรีสะเกษ ก็เรียบร้อยดีไม่มีเรื่องใด ๆ นอกจากนั้นแต่ละจุดที่ตนไปก็ไม่มีผู้ชุมนุมมาต่อต้าน ดังนั้น จากเหตุการณ์นี้ตนเข้าใจว่ามีการแจ้งจากวิทยุชุมชน จึงทำให้มีผู้สื่อข่าวมา แต่ตนก็เข้าไปในสนามบินแล้ว ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยากให้ตนไปแจ้งความ แต่คนขับรถไม่รู้จะแจ้งความอย่างไร เพราะรถไม่มีร่องรอยความเสียหาย
        
“ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะทั้งวัน  บรรยากาศดีหมด จนกระทั่งขึ้นเครื่อง ก็มีเสียง ตุ๊บเดียว แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว


กลุ่มชักธงรบปัดขว้าง “อภิสิทธิ์”

 
ส่วนที่ จ.อุบลราชธานี กรณีมีเหตุรถตู้ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถูกขว้างด้วยอุจจาระ ขณะวิ่งเข้าสนามบินอุบลฯเพื่อกลับกรุงเทพฯ นั้น ร.ต.อ.อนุสรณ์ แสนสิ่ง พงส.สภ.เมืองอุบลฯ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ได้รับแจ้งว่าเหตุขว้างปาสิ่งของใส่รถตู้ นายอภิสิทธิ์ ขณะวิ่งเข้าสนามบิน ไปตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานใด ๆ ส่วนรถตู้ของ นายวิฑูรย์ นามบุตร ได้สั่งให้รีบออกจากสนามบินกลับไป เพื่อไม่ให้ตกเป็นข่าว
 
ด้าน นายวีรพล วัชระพล แกนนำกลุ่มชักธงรบ ซึ่งเคลื่อนไหวต้านกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่าตนเองก็ทราบข่าวจากทางสื่อมวลชน พร้อมปฏิเสธ ว่าไม่ใช่ฝีมือของกลุ่ม ในฐานะแกนนำกลุ่มชักธงรบก็ไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าเป็นวิธีการใช้ความรุนแรงวิธีหนึ่ง ซึ่งกลุ่มไม่สนับสนุน และวิธีการรุนแรงแบบนี้คนที่มีวุฒิภาวะเขาไม่ทำกัน การที่นายอภิสิทธิ์เข้าพื้นที่อุบลฯ คนอุบลฯหรือพวกตนเองไม่มีใครรู้เลย ผู้ที่รู้ก็มีเฉพาะคนเขื่องใน คนของนายวิฑูรย์เท่านั้น ที่รู้เวลาการเดินทาง สำหรับวันนี้มีประชาชนโทรฯมาถามตนเองมาก บางคนพูดด้วยความสะใจ ซึ่งตนเองได้แต่ปรามเพราะกลุ่มชักธงรบ ไม่สนับสนุนวิธีการรุนแรง


ผู้ว่าฯ สั่งมาตรการรับ วีไอพี
 
ทางด้านนายชวน ศิรินันท์พร ผวจ.อุบลราชธานี กล่าวว่าเมื่อทราบข่าวก็รู้สึกตกใจ ได้สั่งให้มีการตรวจสอบข้อมูลรายละเอียด ซึ่งในเบื้องต้นสอบถาม นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ที่นั่งรถไปด้วย บอกว่าไม่มีเหตุการณ์ แต่เห็นข่าว ท่านอภิสิทธิ์ออกมายอมรับว่ามีการขว้างปาจริง ซึ่งไม่น่าจะเป็นเหตุการณ์ดิสเครดิต เพราะหากเป็นการกระทำเพื่อดิสเครดิต ไม่น่าจะทำอย่างนี้ เหตุการณ์นี้ถือว่ามีช่องโหว่ เนื่องจากทางจังหวัดไม่ทราบว่าท่านเดินทางเข้าพื้นที่ ซึ่งท่านอาจเดินทางมาเงียบ ๆ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหา ต่อไปจะประสานงานและสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจสอบบุคคลสำคัญ และแจ้งให้ตนเองทราบทุกครั้ง แม้ว่าการเดินทางจะมาส่วนตัวเงียบ ๆ ก็ตาม ซึ่งจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงสิ่งของที่ขว้างปาเป็นตีนตบไม่ใช่ถุงปฏิกูลอย่างที่ปรากฏตามสื่อ


อย่าดึงสถาบันโยงการเมือง

 
เมื่อเวลา 08.30 น.ที่ดอนเมือง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.  กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการทำบุญครั้งใหญ่ว่า เท่าที่หารือกับทางพระคุณเจ้าฯ คิดว่าจะมีการจัดงานดังกล่าวในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ เพราะเป็นการเริ่มเวลาเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด  พวกเราจะได้ร่วมกันถวายพระพรและร่วมกันทำบุญด้วย หลังจากนั้นจะเป็นงานวันเฉลิมพระชนมพรรษามีงานต้องทำหลายอย่างติดต่อกัน
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า วันนี้มีการดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง คนที่เป็นรัฐบาล ข้าราชการ ตำรวจ ประชาชนก็ตามอยากให้เรื่องนี้อยู่ในหัวใจของทุกคน ไม่ใช่เรื่องที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์เราช่วยกันดูแลอยู่แล้ว ตั้งแต่มีปัญหาเรื่องเว็บหมิ่นเบื้องสูงนั้นตนก็พยายามจะแก้ไขอย่างสัปดาห์ที่ผ่านมาตนก็เดินทางไปกระทรวงไอซีที ทั้งนี้ตนได้สั่งการไปหลายครั้งและอยากให้เรื่องนี้อยู่ในความรู้สึกและจิตใจของทุกคน หากใครมีเบาะแสอะไรก็ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการ เรื่องอย่างนี้ไม่ควรนำมาเป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะต้องไม่มีฝักไม่มีฝ่าย ขอให้เป็นเรื่องที่สังวรไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม อย่านำสถาบันมาเกี่ยวข้องหรือทำให้เกิดความรู้สึกกระทบกระเทือนกับหัวใจของคนไทยทุกคน


ไอซีทีชง 500 ล.ซื้ออุปกรณ์
 
นายมั่น พัธโนทัย รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินการปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นเบื้องสูงว่า เบื้องต้นได้รายงานให้ ครม.ทราบแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลหรือชื่อเว็บไซต์ได้ ทั้งนี้ไอซีทีจะดำเนินการร่วมมือกับทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ ทั้งฝ่ายข่าวกรอง ตำรวจ โดยมีกระทรวงไอซีทีเป็นแกนหลัก เพื่อจัดการกับเว็บไซต์เหล่านี้ที่มีอยู่จำนวนพอสมควร โดยในวันที่ 29 ต.ค.นี้ ทางไอซีที จะประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะมีการหารือเรื่องการซื้ออุปกรณ์ คุณภาพเกตเวย์ มีมูลค่าตั้งแต่ 100-500 ล้านบาท เพื่อบล็อกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม ยอมรับว่า เว็บพวกนี้ยิ่งปราบก็ยิ่งงอก เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ทำง่าย


ครม.อนุมัติ 56 ล้านเยียวยา
 
เมื่อเวลา 16.30น. นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมครม.ว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบให้อนุมัติงบประมาณ 56 ล้านบาทเพื่อใช้ชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯวันที่ 7 ต.ค. และเหตุการณ์เกี่ยวเนื่อง โดยจำนวนเงินที่จะ  ใช้ชดเชยครอบคลุมตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 29 ส.ค. 2 ก.ย. และ 7 ต.ค. โดยแยกชดเชยดังนี้ ผู้เสียชีวิตรัฐบาลจะชดเชยให้รายละ 4 แสนบาท และบาดเจ็บต้องเข้ารักษาตัวเกิน 20 วันจะชดเชยรายละ 1 แสนบาท ส่วนบาดเจ็บแต่ไม่ต้องพักรักษาตัว ชดเชยรายละ 2 หมื่นบาท ในกรณีที่ผู้ได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการฟื้นฟูจะชดเชยให้อีก 2 แสนบาท รวมถึงจะช่วยเหลือบุตรหลานของผู้พิการทุพพลภาพ เป็นรายเดือน ๆ ละ 1,000-3,000 บาท
 
ส่วนการช่วยเหลือด้านการศึกษาให้กับบุตรหลานของผู้เสียชีวิตจนจบถึงปริญญาตรีเป็นรายเดือน ๆ ละ 1,000-1,500 บาท โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน และจะมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป   


“ทรงกิตติ” วอนอย่าดึงสถาบัน

 
ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ. ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.ทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงว่า อยากขอร้องประชาชนทั่วไป เมื่อเราเกิดเป็นคนไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ได้สร้างประเทศไทย และพระราชทานความเมตตา โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแนวทางการดำรงชีวิต สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นห่วงได้พระราชทานแนวทางการอนุรักษ์ดินและน้ำ และพระราชทานวิชาชีพแก่ประชาชนในโครงการศิลปาชีพ พวกเราที่เป็นคนไทยต้องช่วยกันปกป้องและไม่ดึงสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับทางการเมือง ในภาวะเศรษฐกิจของโลกในอนาคตมีความผันแปร การดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงสามารถช่วยพวกเราได้ และหากไม่ไปพัวพันกับวัตถุนิยมมาก ก็มีความสุขได้และมีรอยยิ้มที่สะอาด


ช่วยกันลดทิฐิ-ประนีประนอม

 
พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ขอให้เราลดทิฐิ ลดภาวะต่าง ๆ และทำใจให้มีความสุขกันบ้าง เราจะทำหน้ากันแบบนี้หรือจะพูดกันแบบนี้ไปอีกถึง 3 เจเนอเรชั่นหรืออย่างไร จะให้ลูกหลานที่เกิดขึ้นมาบนความขัดแย้ง หรืออย่างไร เราควรจะจบและหันหน้าเข้าหากัน ประนีประนอมถ้อยทีถ้อยอาศัยและคิดถึงคนอื่น ประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงเราเพียงอย่างเดียว แต่คือการคิดถึงผู้อื่น และจิตใจของเขาด้วย เมื่อถามว่าทหารจะเป็นตัวกลางในการเจรจาหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของกองทัพ ซึ่งตนอยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน กลับมาคุยกัน เป็นคนไทยต้องพูดภาษาเดียวกัน ควรที่จะคิดดีทำดีพูดดี
  
เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะโฟนอินผ่านรายการ ความจริงวันนี้ ที่สนามราชมังคลาฯในวันที่ 1 พ.ย.นี้ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่ห่วง และขณะนี้ยังไม่เกิดอะไร ท่านอาจจะโทรศัพท์มาพูดคุยกับประชาชน ถือเป็นเรื่องธรรมดา หรืออาจจะพูดให้สามัคคีกันและเสียสละเพื่อแผ่นดินก็ได้ และยังไม่ใช่ประเด็นที่เราจะไปคิดถึงตรงนั้น เรายังหวังในสิ่งที่ดี และช่วยกันปรับสิ่งที่ไม่ดีให้เป็นสิ่งที่ดี


ฟ้อง “สุรพล” หมิ่น “น้องโบว์”
               
 
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 14.00 น. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯรับมอบอำนาจจาก นางวิชชุดา ระดับปัญญาวุฒิ มารดาของ น.ส.อังคณา หรือน้องโบว์ อายุ 27 ปี นักศึกษาปริญญาโท จาก ม.อัสสัมชัญ (เอแบค) ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อค่ำวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายด้วยการโฆษณา และความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นการใส่ร้ายผู้ตาย ให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าผู้ตายเป็นผู้หญิงไม่ดี มีนิสัยก้าวร้าว ดุดัน พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ครอบครัวบิดา มารดา และครูบาอาจารย์ไม่สั่งสอน และเป็นการมุ่งเจตนาใส่ร้ายให้ผู้ตายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.4167/2551 และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.


ตั้งรองโฆษกตร.เพิ่ม

 
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.มีคำสั่ง สตช.ที่ 724/2551 ลงวันที่ 28 ต.ค. 2551 เรื่องแต่งตั้งรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (เพิ่มเติม) เนื่องจากปัจจุบัน พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ จริตเอก จตร. (สบ 8) และพล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผบช.ก. ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับคัดเลือกเข้ารับการอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน และหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ เผยแพร่การปฏิบัติหน้าที่ราชการในภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ จึงแต่งตั้ง พล.ต.ต.วรเทพ เมธาวัธน์ รองผบช.ประจำ เป็นรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ตำรวจตั้งศูนย์ติดตามคดีหมิ่นฯ
 
พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ฐานะโฆษก ตร. กล่าวถึงการดำเนินการคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งเรื่องกำชับการปฏิบัติในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดฐานหมิ่นฯไปให้ทุกกองบัญชาการปฏิบัติไปเมื่อวานนี้ สำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นฯในเว็บไซต์ ก็มอบให้ทาง สทส. เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งมีศูนย์ตรวจสอบและติดตามการกระทำผิดทางเทคโนโลยี (ศตท.) คอยติดตามการกระทำความผิดทางเว็บไซต์ต่าง ๆ อยู่ที่ผ่านมาก็ได้มีการประสานกับทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) อยู่ตลอด อย่างเว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน หรือประชาไท ก็ได้มีการประสานทางกระทรวงไอซีทีทำการบล็อกแล้ว แต่ขั้นตอนของกระทรวงไอซีทีก็ต้องมีการร้องต่อศาลเพื่อทำการปิด หรือบล็อกเว็บไซต์นั้น ๆ ซึ่งนอกจากจะประสานปิดหรือบล็อกเว็บแล้ว เรื่องการดำเนินคดีทางอาญา เราก็ต้องดูไปตามพยานหลักฐานว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ กระบวนการต่าง ๆ จะต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะเป็นข้อหาที่ละเอียดอ่อน ทางกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ก็ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อติดตามการกระทำผิดในเรื่องนี้โดยเฉพาะ


คดี “จักรภพ” ป.สอบเพิ่ม
 
พล.ต.ท.วัชรพล ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า ล่าสุดทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้พนักงานสอบสวนกองปราบฯ สอบพยานเพิ่มตามที่ผู้ต้องหาร้องขอมา ตามสิทธิของผู้ต้องหาสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ขัดข้อง ซึ่งพนักงานสอบสวนกองปราบฯก็รับผิดชอบการสอบพยานเพิ่มเติม ส่วนคดีของนาย สุชาติ นาคบางไทร แกนนำ นปช.ที่ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นฯแล้วยังหลบหนีอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดำเนินการติดตามอยู่ เมื่อมีหมายจับแล้วไปปรากฏตัวที่ไหนก็สามารถจับกุมได้ทันที ตามอายุความของกฎหมาย


“จตุพร” ฉุนถูกเล็งถอดรายการ

 
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ กล่าวถึงกรณีนายสุพล ฟองงาม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ เตรียมหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องถึงรูปแบบและเนื้อหาการนำเสนอของรายการ “ความจริงวันนี้” ที่ออกอากาศทางเอ็นบีที ว่าควรจะมีการปรับปรุงอะไรหรือไม่ เพื่อตอบสนอง เรื่องการสร้างความปรองดองว่า ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐมนตรีจะมาพูดคุยกับคนจัดรายการ เพราะการทำงานมีระเบียบปฏิบัติเป็นขั้นตอน รัฐมนตรีต้องไปพูดคุยกับฝ่ายบริหาร ตั้งแต่อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ผอ.สถานี ไม่ใช่ภาระหน้าที่รัฐมนตรีต้องมาคุยกับผู้จัด ทั้งนี้ตนไม่เข้าใจว่ารายการความจริงวันนี้เสียหายอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งจัดรายการออกอากาศด่าได้ทั้งวันไม่เป็นไร ตนเคยประกาศไปแล้วว่าหากใครคิดว่าได้รับความเสียหายก็สามารถฟ้องหมิ่นประมาทได้ และถึงไม่มีรายการความจริงวันนี้ถามว่าบ้านเมืองตอนนี้ไม่แตกแยกหรืออย่างไร


โอ่รวมคนเสื้อแดงลงกินเนสส์ฯ

 
นายจตุพร กล่าวถึงยอดจำหน่ายเสื้อสีแดงของงานความจริงวันนี้ต้านรัฐประหารว่า เสื้อสีแดงที่ผลิตมาจำหน่ายได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นำมาวางขายเท่าไหร่ก็จำหน่ายได้หมด โดยขณะนี้ยอดการขายเสื้อแดงมีจำนวนเท่ากับความจุของสนามราชมังคลากีฬาสถาน หรือประมาณ 1 แสนตัวแล้ว ซึ่งตนจะสั่งผลิตออกมาอีกเรื่อย ๆ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน อย่างไรก็ตามตนกำลังดูอยู่ว่างานความจริงวันนี้ต้านรัฐประหารที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1 พ.ย.นั้น จะสามารถลงกินเนสส์บุ๊กได้หรือไม่ ที่คนสวมเสื้อสีแดงจำนวนเรือนแสนคนมาชุมนุมกันโดยไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
 
รายงานข่าวแจ้งว่า ภายในงานดังกล่าว ยังจะมีการเปิดตัวหนังสือ “นพดล ปัทมะ ผมไม่ได้ขายชาติ” ของนายนพดล ปัทมะ อดีต  รมว.การต่างประเทศ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับข้อพิพาทกรณีเขาพระวิหารระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชาด้วย


ป.ป.ช.ขอมติ ครม.ประกอบ
 
 
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีสลายม็อบ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น.ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีสั่งการสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯที่บริเวณรัฐสภา ว่า ในวันที่ 29 ต.ค.นี้ จะทำหนังสือขอเอกสารและมติ ครม.ในวันที่ 6 ต.ค. จากคณะรัฐมนตรี เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาสำนวน คาดว่าคดีนี้ต้องสอบพยานทั้งผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง 50 กว่าปาก ส่วนความคืบหน้ากรณี การไต่  สวน ผบก.ภ.จว.อุดรธานี และผกก.สภ.เมืองอุดรธานี ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีปล่อยให้กลุ่มประชาชนบุกเข้าทำร้ายกัน ที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ จ.อุดรธานี นั้น มีความคืบหน้าจนใกล้แจ้งข้อหาได้แล้ว รอเพียงให้ผู้ถูกกล่าวหามาให้ข้อมูลอีกเล็กน้อยเท่านั้น


เสื้อแดง-เหลือง จับมือรักกัน

 
ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (จำลอง) หน้าที่ว่าการอำเภอขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา กลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 100 คน นำโดย นางเปรียว ไชยจอหอ และกลุ่มคนเสื้อเหลืองประมาณ 100 คน นำโดย นายไพบูลย์ แก้วไพฑูรย์ ออกมาเคลื่อนไหวรวมตัวกันเพื่อเรียก  ร้องให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรง หันหน้าเข้าหากันเพื่อนำพาประเทศชาติไปสู่ความสงบสุข โดยทั้งสองกลุ่มจะร่วมมือกันสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในอำเภอขามสะแกแสง เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในกิจกรรมวันแม่สู่วันพ่อ 116 วันสร้างสามัคคี โดยทั้ง 2 กลุ่มได้ร่วมกันร้องเพลงรักกันไว้เถิด
 
นางเปรียว กล่าวว่า อยากให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างสามัคคีให้เกิดขึ้นในสังคมและยุติความรุนแรง เช่นเดียวกับ นายไพบูลย์ กล่าวว่าความแตกต่างทางความคิดสามารถเกิดขึ้นได้ แต่คนไทยด้วยกันไม่ควรให้เกิดความแตกแยก เพราะประเทศไทยบอบช้ำมามากแล้ว


เครือข่ายฯให้กำลังใจ “สุเมธ”

 
ที่ห้องประชุมสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการประชุมคณะทำงานเครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม เพื่อติดตามประเมินผลการจัดกิจกรรมประชุมใหญ่เครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา ก่อนการประชุมมีการหารือ กรณีที่เครือข่ายได้เรียนเชิญ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล มาเป็นผู้กล่าวปาฐกถานำในการประชุมใหญ่ดังกล่าว เพื่อให้สติและข้อคิดเห็นแก่ผู้เข้าร่วมประชุมที่เห็นพ้องต้องกันว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ควรที่จะใช้วิธีการสานเสวนาระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อลดหรือยุติข้อขัดแย้งซึ่งอาจนำไปสู่การใช้กำลังที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่ยากจะเยียวยาในระหว่างคนในชาติที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้จนเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่ายนั้น
 
นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ อุปนายกสมาคมนักข่าวฯในฐานะคณะทำงานเครือข่ายสานเสวนาฯ แถลงว่า ทางเครือข่ายใคร่ขอแสดงความเห็นใจและขอเป็นกำลังใจให้ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล พร้อมทั้งขอเรียกร้องให้ผู้รักความเป็นธรรมและสันติ ได้ร่วมกันปกป้องผู้ที่กล้า หาญและหวังดีต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งมิได้ให้ร้ายหรือโจมตีใคร แต่ได้ให้ข้อคิดที่สร้างสรรค์ต่อทุกฝ่ายไม่ให้ถูกทำลายโดยไม่เป็นธรรมและไม่มีโอกาสปกป้องตนเอง หากสังคมและสื่อมวลชนไม่ปกป้องผู้ใหญ่ที่เสียสละและกล้าหาญเช่นนี้ ต่อไปจะไม่มีใครแสดงความเห็นที่ถูกต้องให้สังคมไ<

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์