ธาริตอ้างเพชรที่หาย โผล่ในเซฟ

ดีเอสไอได้ฤกษ์แล้ว ส่งฟ้องคดีผู้ก่อการร้ายชุดแรก ศุกร์ที่ 30 ก.ค.นี้ 24 คนรวด ทั้งแกนนำ นปช. "กบ-หรั่ง" ลูกน้องเสธ.แดง

รวมถึงผู้ต้องหาคดีระเบิดพรรคภูมิใจไทย แม้แต่ 3 ส.ส.เพื่อไทย "จตุพร-การุณ-วิเชียร" ก็โดนด้วย ส่วนกรณีเพชรหาย กลายเป็นเรื่องโอละพ่อ หลังเลขาฯ รมว.ยุติธรรม นัดทุกฝ่ายเปิดตู้เซฟ พบของกลางอยู่ครบ แต่เข้าใจผิดในหน่วยนับเครื่องประดับ เตรียมเชิญทุกฝ่ายเปิดแถลงผลการตรวจสอบพุธนี้ ขณะที่ คอป.ก็ได้ข้อสรุป ยืนยันราชทัณฑ์ตีตรวนแกนนำ นปช.ละเมิดสิทธิมนุษยชน ขัดต่อหลักความปรองดองแห่งชาติ

ในที่สุดหลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย

สอบสวนผู้ต้องหามาเป็นเวลาพอสมควร ก็มีผลสรุปแล้ว โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ค.นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าของคดีว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ก.ค.ดีเอสไอจะสรุปสำนวนคดีก่อการร้ายสั่งฟ้องผู้ต้องหาต่ออัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นชุดแรก โดยจะนำสำนวนพร้อมควบคุมตัวผู้ต้องหาไปส่งอัยการ ส่วนจำนวนผู้ต้องหาที่จะสั่งฟ้องชุดแรกยังระบุจำนวนที่ชัดเจนไม่ได้ในขณะนี้ ต้องขอดูสำนวนคดีอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายที่ถูกควบคุมอยู่ในเรือนจำจะอยู่ในกลุ่มที่ถูกส่งฟ้องต่ออัยการแน่นอน เพราะจะครบกำหนดฝากขัง

ต่อมาเวลา 17.00 น.มีรายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าในเวลา 09.00 น.วันที่ 27 ก.ค.

นายธาริตจะเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้ายจาก 13 หน่วยงานความมั่นคง เพื่อพิจารณาสรุปสำนวนสั่งฟ้องคดีก่อการร้ายกับกลุ่มแกนนำ นปช.กลุ่มการ์ดฮาร์ดคอร์ และกลุ่มผู้ต้องหาคดีวางระเบิดข้างพรรคภูมิใจไทยต่ออัยการเป็นชุดแรก รวม 24 คน ในวันศุกร์ที่ 30 ก.ค.ซึ่งผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายชุดแรกที่ถูกดีเอสไอสั่งฟ้อง ประกอบด้วยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายขวัญชัย สาราคำ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก นายนิสิต สินธุไพร นายวีระ มุสิกพงศ์ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ทั้งหมดเป็นแกนนำ นปช.

นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง นายอำนาจ อินทโชติ นายสมบัติ มากทอง นายสุขเสก พลตื้อ นายชยุต ใหลเจริญ นายจรัล ลอยพูล นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ ส.ต.รชต หรือกบ วงศ์ยอด ทั้งหมดเป็นกลุ่มฮาร์ดคอร์ ลูกน้อง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง นายอเนก สิงห์ขุนทด นายเดชพล พุทธจง นายกำพล คำคง น.ส.วริศรียา บุญสม หรืออ้อ และนายกอบชัย บุญปลอด หรืออ้าย ทั้งหมดเป็นกลุ่มผู้ต้องหาร่วมกันวางระเบิดพรรคภูมิใจไทย

ส่วนนายจตุพร พรหมพันธ์ นายการุณ โหสกุล นายวิเชียร ขาวขำ 3 ส.ส.พรรคเพื่อไทย

ที่ถูกดำเนินคดีก่อการร้ายและได้รับการประกันตัวในชั้นศาล จะรวมอยู่ในกลุ่มผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายที่จะถูกฟ้องในครั้งนี้ด้วย โดยดีเอสไอจะนัดทั้ง 3 คน ให้มารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนที่สำนักงานอัยการสูงสุด ส่วนผู้ต้องหาข้างต้นที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ดีเอสไอจะนำสำนวนไปส่งฟ้องโดยอัยการไม่ต้องนำตัวผู้ต้องหาไป ทั้งนี้ รวมผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายชุดแรกที่ดีเอสไอจะสรุปสั่งฟ้องต่ออัยการ 24 คน

ส่วนความคืบหน้ากรณีดีเอสไอทำเพชรของกลางที่เจอในวัดปทุมวนารามหายนั้น
นายธาริตกล่าวว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา เลขานุการรัฐมนตรียุติธรรม ได้เชิญเจ้าของร้านจิวเวลรี่ที่ร้องว่าเพชรของกลางหายพร้อมด้วยตำรวจ ทหาร และดีเอสไอ ร่วมกันเป็นสักขีพยานในการเปิดตู้เซฟเก็บของกลางที่เก็บไว้ที่ดีเอสไอ เพื่อเปิดตรวจสอบนับจำนวนเครื่องประดับที่ดีเอสไอรับมาเป็นของกลางในคดีก่อการร้าย 40 ราย ปรากฏว่า จากการตรวจสอบบัญชีจำนวนของกลางและตรวจสอบรูปพรรณของกลาง ยืนยันได้ว่าของกลางที่ตรวจยึดได้จากวัดปทุมฯ ไม่หาย แต่คลาดเคลื่อนในหน่วยนับ ทางเจ้าของร้านจิวเวลรี่ก็ไม่ติดใจ ทั้งนี้จะมีการเปิดแถลงข่าวผลการตรวจสอบของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในวันพุธที่ 28 ก.ค. ที่กระทรวงยุติธรรมจะเปิดแถลงข่าวประจำสัปดาห์เพื่อประชาสัมพันธ์ภารกิจให้ประชาชนรับทราบต่อไป

นายธาริตยังกล่าวอีกว่า ในวันที่ 28 ก.ค.นี้ เวลา 10.00 น.

ภรรยาตนได้มอบอำนาจให้ทนายความยื่นฟ้องดำเนินคดีอาญากับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ฐานหมิ่นประมาท กรณีระบุว่าภรรยาตนเรียกรับเงินจากนักธุรกิจ 150,000 บาท เมื่อครั้งเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร เพื่อเคลียร์คดีภาษี เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการดิสเครดิต และคาดว่าในอนาคตจะมีการปล่อยข่าวเพื่อให้ร้ายตนออกมาเรื่อยๆ ตอนนี้ตนกลายเป็นเป้าหมายโจมตีจากหลายด้าน ทั้งคนในกระทรวงยุติธรรม คนในดีเอสไอ และคนจากพรรคเพื่อไทย ส่วนตัวรู้ว่าคนในกระทรวงยุติธรรมและในดีเอสไอ มีทั้งคนชอบ และไม่ชอบตน ตนเหมือนกำลังสู้อยู่คนเดียว แต่ถือเป็นหน้าที่ การออกมาพูดไม่ได้หมายความว่าต้องการเรียกร้องความสนใจ เพียงต้องการปรับทุกข์ แต่ไม่ถอยแน่นอน จะสู้จนกว่าจะไม่มีแรงสู้

นายธาริตกล่าวอีกว่า ตอนนี้มีข่าวปล่อยมาทำลายตนมากมาย ล่าสุดมีคนโทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่ามีการปล่อยข่าวทำนองว่า ตนให้คนใกล้ชิดไปปล่อยข่าวในดีเอสไอทำนองว่าได้รับเงินจากการขายที่ดินมรดกมาจำนวน 200 ล้านบาท เพื่ออำพราง ทั้งที่ตนได้รับรางวัลเป็นค่าตอบแทนมาจากรัฐบาล ซึ่งตนก็งงเหมือนกัน มันนิยายชัดๆ สักบาทตนก็ไม่เคยได้ แต่ก็จะยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่ในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป แม้ว่าจะมีขบวนการปล่อยข่าวดิสเครดิตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายสมชาย หอมลออ กรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.)

เปิดเผยว่า ในที่ประชุม คอป.หยิบยกประเด็นการตีตรวนแกนนำ นปช.มาหารือถึง 2 ครั้ง จนมีความเห็นร่วมกันว่าการบังคับให้แกนนำ นปช.สวมชุดนักโทษ  และตีตรวนด้วยโซ่นั้น ถือว่าเข้าข่ายการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของประชาชน เป็นการกระทำที่กระทบต่อความรู้สึกประชาชน ถือว่าขัดต่อหลักการสร้างความปรองดองของชาติ ที่ประชุมเห็นว่าควรจะมีข้อเสนอให้รัฐดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักการสิทธิมนุษยชน ส่วนที่กรมราชทัณฑ์อ้างว่าการตีตรวนนักโทษเป็นไปตามกฎหมาย อยากให้ย้อนดูคำพิพากษาศาลปกครอง เมื่อปลายปี 2552 ที่วินิจฉัยว่าการตีตรวนนักโทษนั้น ไม่ได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ว่าสามารถจะกระทำได้กับทุกคน แต่ให้พิจารณาเป็นรายไป ซึ่งกรณีของนักโทษที่เรือนจำบางขวางนั้น ศาลปกครองชี้ว่าเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ของแกนนำ นปช.ที่ไม่มีเจตนาว่าจะหลบหนี แสดงให้เห็นว่ากรมราชทัณฑ์ปฏิบัติกับผู้ถูกคุมขัง ไม่ถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชน

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์