สนธิรับไม่ปลื้มพจมานพบป๋า สตง.แฉบิ๊กขรก.รับเละนั่งหลายบอร์ดฝืนกม.

"คิดว่าคงไม่มีอะไรลึกๆ"


"พล.อ.สนธิ" รับไม่สบายใจข่าว "พจมาน" บุกพบ "ป๋าเปรม" ยันไม่ส่งผลกระทบงาน คมช. ด้านศาล รธน.คาดคดียุบพรรครู้ผลไม่เกินมกราคม ปี 2550

เล็งเรียก "ทักษิณ" กลับมาชี้แจง ขณะที่ คตส.เรียกแจงวันนี้ 2 ราย คดีทุจริตกล้ายาง มั่นใจหลักฐานมัดนักการเมืองใหญ่ได้ สตง.แฉบิ๊ก ขรก.ฝืนกฎหมายนั่งกรรมการบอร์ดหลายชุด รับเละค่าเบี้ยประชุม

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.อ.อู้ด เบื้องบน นายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นำคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าพบ พล.อ.เปรม ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ที่ผ่านมาว่า คมช.ไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนว่าจะมีการนำคุณหญิงพจมานเข้าพบ พล.อ.เปรม แต่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรลึกๆ อย่างที่สื่อมวลชนเข้าใจกัน

"ไม่กระทบ คมช."


"น่าจะเป็นความปรารถนาดีมากกว่า อย่างไรก็ตาม การที่คุณหญิงพจมาน เข้าพบ พล.อ.เปรม ไม่ได้กระทบต่อการทำงานของ คมช. เป็นเพียงแค่ความรู้สึกของคนไทย ที่อาจจะไม่สบายใจกับการเข้าพบ พล.อ.เปรม เท่านั้น" ประธาน คมช.กล่าว

เมื่อถามว่า ขณะนี้ประชาชนเริ่มสับสนในการทำงานของ คมช. พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เราพยายามจะตั้งรับกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ที่ผ่านมายอมรับว่าเราล้าหลัง งานไม่ก้าวหน้า โดยเฉพาะงานด้านการประชาสัมพันธ์ ที่ต้องเร่งแก้ไขว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจถึงการทำงานของ คมช.เป็นหลัก ว่าทำอะไรไปบ้างแล้ว จริงๆ แล้วเราทำงานกันตลอดไม่เคยหยุดเลย เพราะถือว่าเรามีเวลาไม่มาก ที่ต้องเร่งนำพาประเทศชาติกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือการเร่งสรรหาสมัชชาประชาชนเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะได้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น คมช.ก็จะได้พ้นสภาพไป

เมื่อถามว่า ประชาชนต้องการฟังคำชี้แจงถึงสาเหตุการยึดอำนาจของ คมช. พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เหตุผลการทำรัฐประหารได้ชี้แจงไปหมดแล้ว จากแถลงการณ์ทั้ง 4 ประการของคณะปฏิรูปฯ โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น ที่มีการตรวจสอบและตั้งคณะทำงานตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งคณะทำงานดำเนินการไปแล้ว แต่ขาดการชี้แจง ดังนั้น ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป จะต้องมีการชี้แจงถึงผลการดำเนินงานให้สังคมได้รับรู้ว่าทำอะไรคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

สั่งเร่งรัดคดีค้างเก่าสมัยรัฐบาลที่แล้ว


เมื่อถามว่า สัปดาห์หน้า คมช.จะประชุมเพื่อสรุปสำนวนคดีต่างๆ ที่ยังค้างในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ที่ประชุม คมช.ได้หารือและได้ข้อสรุปในเบื้องต้นไปบ้างแล้ว ถึงแนวทางการแก้ปัญหาเกี่ยวกับคดีที่ยังคั่งค้างอยู่ เช่น คดีตากใบ ซึ่งมีผู้ต้องหาอยู่ 58 ราย คดีลอบสังหารอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ (คาร์บอมบ์) ที่มีนายทหารเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย และคดีการหายตัวไปของนายสมชาย ลีนะไพจิตร ทนายความ เพราะเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจมาก ทั้งนี้ คมช.ได้เชิญเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม และ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาชี้แจงถึงแนวทางการคลี่คลายคดีต่างๆ เหล่านี้โดยเร็ว

"คมช.ต้องการเร่งรัดในแต่ละเรื่อง เพราะปรากฏว่าที่ผ่านมามีนัยอะไรอยู่ เป็นที่ต้องสงสัยของสังคม ดังนั้น ผมอยากขอเวลาที่จะบอกสังคมบ้างว่า คมช.ทำอะไรไปบ้าง เพราะคดีต่างๆ ไม่ทำไม่ได้ ซึ่งได้ให้นโยบายไปว่า เราต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเนื้อผ้า อย่ากลั่นแกล้ง ขอให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งในบางคดีขอร้องให้ดูดีๆ เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ของคนไทยในชาติจริงๆ" พล.อ.สนธิ กล่าว

ส่อยกฟ้องคดีคาร์บอมบ์-ตากใบ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีคดีลอบสังหารอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สรุปสำนวนเรียบร้อยแล้ว พร้อมจะเสนอสำนวนทั้งหมดต่อ คมช.ในวันที่ 31 ตุลาคม ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่า สำนวนที่จะยื่นฟ้องต่อนายทหาร หรือบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องอาจยกฟ้องทั้งหมด เนื่องจากพยานแวดล้อมไม่เพียงพอ และไม่สามารถชี้ชัดลงได้ว่ามีการวางแผนลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ จริง จากสำนวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ แต่อาจมีนายทหารบางรายที่ได้รับโทษจากกรณีที่มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่โทษหนักอะไร

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ส่วนคดีตากใบ ที่มีผู้ต้องหา 58 รายนั้น ปรากฏว่าขณะนี้สรุปสำนวนไปบ้างแล้ว โดยพิจารณาจากคดีเบาๆ ไปหาหนัก ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพยายามดำเนินการอย่างเร่งด่วน และเป็นไปได้ว่าจะถอนฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดในที่สุด

ส่วนคดีการหายตัวไปของนายสมชาย ลีนะไพจิตร นั้น เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะรายงานความคืบหน้าต่อที่ประชุม คมช.อย่างละเอียดอีกครั้ง วันที่ 31 ตุลาคมนี้

ปชป.เชื่อหญิงอ้อพบป๋าไม่กระทบ คตส.


นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษว่า คนที่เข้าไปพบมีฐานะถึงอดีตภริยานายกฯ ก็ย่อมทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทิศทางต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรนอกเหนือไปกว่าความเมตตาอารีของ พล.อ.เปรม และการเข้าพบก็น่าจะเป็นการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน โดยไม่ได้หวังผลทางการเมืองใดๆ

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ส่วนเจตนาของคุณหญิงพจมานนั้น จะเป็นอย่างไรก็คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่การตั้งข้อสังเกตว่า การเข้าพบดังกล่าวจะทำให้การตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลดประสิทธิภาพลงไปนั้น คงไม่ใช่ เพราะไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะลดความเข้มข้นลง

ชี้ทักษิณเคลื่อนไหวแค่คนสูญอำนาจ


ผู้สื่อข่าวถามถึงความพยายามจะเดินทางกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงขนาดมีข่าวว่าจะไปดักพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่ประเทศจีน นายองอาจ กล่าวว่า คงเป็นเพียงความเคลื่อนไหวทางการเมืองรูปแบบหนึ่งของผู้ที่สูญเสียอำนาจ มากกว่าจะเป็นความพยายามขอเดินทางกลับประเทศตามปกติ เพราะคนที่สูญเสียอำนาจก็อยากได้อำนาจคืน รวมทั้งการเคลื่อนไหวในเรื่องอื่นๆ ก็อาจเป็นส่วนที่ต้องการจะได้อำนาจกลับคืนมาอีก อย่างไรก็ตาม คิดว่าคงไม่เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะ คมช.และรัฐบาลก็ทราบดีว่าเครือข่ายระบอบทักษิณหยั่งรากลึกในสังคมไทย จึงเชื่อว่า คมช.จะสกัดกั้นไม่ให้ระบอบทักษิณกลับคืนมาได้

ฝ่ายก.ม.ทักษิณเตรียมแจงคตส.-ปปช.


ด้านนายนพดล ปัทมะ ในฐานะคณะทำงานและที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กล่าวถึงการเตรียมพร้อมข้อมูลในการชี้แจง ทั้งจาก ป.ป.ช.และ คตส.ว่า ตอนนี้พูดได้กว้างๆ ว่า เตรียมพร้อมไว้ทุกเรื่อง และต้องดูว่าประเด็นใดที่ คตส.และป.ป.ช.ให้สัมภาษณ์ว่าจะตรวจสอบเรื่องใด ก็จะดูว่าเรื่องใดที่เกี่ยวข้อง ก็จะรวบรวมข้อมูลไว้เพื่อชี้แจง

"หากมีการเรียกไปให้ข้อมูล ก็จะได้นำข้อมูลไปให้ ยืนยันไม่ได้ทำงานเป็นทีมงานใหญ่โต ล่าสุดทราบว่า คตส.กำลังตรวจสอบเรื่องการซื้อที่ดินของคุณหญิงพจมาน ที่บริเวณศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย หากมีคำสั่งให้ไปชี้แจง ทั้งด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็พร้อม เพื่อให้ คตส.พิจารณาว่าเราได้ทำอะไรที่ถูกกฎหมาย ยืนยันจะไม่ไปต่อสู้ เพียงแต่จะชี้แจงข้อมูลที่มี และมั่นใจว่าถูกกฎหมาย เราเข้าใจการทำงานของอีกฝ่ายหนึ่ง เชื่อว่าหาก คตส.หรือ ป.ป.ช.ต้องการข้อมูลจากฝ่ายเราก็จะได้รับและเข้าใจมากขึ้น" นายนพดล กล่าว

แก้วสรรชี้บ้านเอื้ออาทรยิ่งสาวยิ่งเจอ


นายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส.ในฐานะประธานอนุกรรมการตรวจสอบโครงการบ้านเอื้ออาทร กล่าวถึงกระแสมีผู้รับเหมาก่อสร้างมาร้องเรียนว่ามีการเรียกรับประโยชน์ในโครงการดังกล่าวว่า มีจริง มีทั้งร้องตรงกับ คตส.และสตง.

เมื่อถามว่า ผู้ร้องระบุว่ามีการเรียกผลประโยชน์ตอบแทนในการก่อสร้างยูนิตละ 1 หมื่นบาท รวมแล้วหลายแสนยูนิต นายแก้วสรร กล่าวว่า มีการร้องเรียนเรื่องการจัดสร้างกว่า 4 แสนยูนิต แต่มีการกระจายออกไปในส่วนต่างๆ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลหลักฐาน คตส.มีแต่อำนาจ ไม่มีมือไม่มีไม้ ก็ต้องขอยืมตัวบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ ทั้งสืบสวนสอบสวนและบัญชี ส่วนชุดที่ตนยืมเจ้าหน้าที่จากส่วนต่างๆ กว่า 10 คน มาเป็นอนุกรรมการ โดยทำหนังสือถึงต้นสังกัดเรียบร้อยแล้ว คาดว่าวันที่ 30 ตุลาคม จะมีความคืบหน้า

เมื่อถามว่า ได้วางกรอบการทำงานหรือไม่ นายแก้วสรร กล่าวว่า ยังเปิดเผยไม่ได้ แต่มีขั้นตอนในใจอยู่แล้ว ยิ่งสาวลึกยิ่งเจอ ต้องสอยทั้งหมด และอาจจะต้องหาคนมาเพิ่ม เพราะประเด็นทั้งหมดอยู่ที่เนื้องาน

เรียกสอบ 2 รายคดี "กล้ายาง"


ด้านนายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส.กล่าวถึงวาระการประชุมที่จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 30 ตุลาคมนี้ ว่า วันจันทร์นี้คณะอนุกรรมการทั้ง 11 ชุด จะรายงานความคืบหน้าของการตรวจสอบแต่ละคดี ที่แต่ละอนุกรรมการรับผิดชอบว่ามีความคืบหน้าอย่างไร และอาจจะมีการพิจารณากรณีการยื่นทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

รายงานจาก คตส.แจ้งว่า คณะอนุกรรมการที่ทำการตรวจสอบเรื่องกล้ายางที่มี นายบรรเจิด สิงคะเนติ เป็นประธาน จะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ 2 คน คือ 1.นายประสาร เกศวพิทักษ์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง และ น.ส.ผ่องเพ็ญ สมาพันธ์ อดีตผู้อำนวยการกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ซึ่งบุคคลทั้งสองจะเข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้ และจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องรายอื่นๆ มาชี้แจงอย่างต่อเนื่อง

มั่นใจหลักฐานมัดนักการเมืองใหญ่


"เรื่องนี้คณะอนุกรรมการกล้ายางจะเหยียบให้มั่นคั้นให้ตาย เพราะจุดประสงค์หลักของเราจะมุ่งไปที่ผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นนักการเมืองรายใหญ่ ขณะนี้หลักฐานที่อยู่ในมือของ คตส.มีครบหมดแล้ว ทั้งพยานหลักฐานและพยานบุคคล แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า คตส.จะเอาจริงแค่ไหนเรื่องนี้" รายงานข่าว ระบุ

รายงานข่าวแจ้งต่อว่า ทั้งนี้ อนุกรรมการกล้ายางบางคนมีความคิดจะรวบรัดเอาความผิดผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ให้ได้ เพราะถือว่ามีข้อมูลพยานหลักฐานสามารถจะเอาผิด แต่ก็มีอนุฯ บางคนแย้งว่า ขอให้ใจเย็นๆ ไปก่อน อย่าเพิ่งสาวเรื่องไปถึงตัวใหญ่ โดยให้ทยอยเรียกพยานแวดล้อมเข้ามาให้ข้อมูลก่อน เพราะจากที่พิจารณาพยานหลักฐานแล้ว มีอะไรแอบแฝงอยู่เยอะเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว จะสังเกตได้จากการเปิดซองเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 แต่กลับมอบต้นยางในเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2546 เหมือนเป็นการเตรียมการไว้ล่วงหน้า

"เม็ดยางร่วงปี 2546 แต่เปิดซอง 10 พฤศจิกายน 2546 จะเอาเม็ดยางจากที่ไหนมาเพาะ และวันที่ 31 ตุลาคมนี้ คณะอนุฯ ชุดนี้จะถามประเด็นนี้เลย" แหล่งข่าวกล่าว

ศาล รธน.ถกยุบพรรคไม่เกิน2เดือน


แหล่งข่าวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่ง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเตรียมวินิจฉัยคดียุบ 5 พรรคการเมืองว่า การวินิจฉัยเรื่องยุบพรรคการเมืองนั้น เนื่องจากมีความสำคัญต่อระบบการปกครอง ส่วนตัวจึงเชื่อว่าเมื่อประกาศใช้ระเบียบวิธีพิจารณาคดีฯ ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว คณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาวินิจฉัยก่อน อย่างไรก็ตาม หากข้อเท็จจริงในส่วนสามพรรคการเมืองขนาดเล็กมีความชัดเจนแล้ว และไม่มีรายละเอียดใดที่แสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีก ก็เป็นไปได้ว่าจะหยิบยกประเด็นของพรรคไทยรักไทยและพรรคประชาธิปัตย์มาวินิจฉัยไปพร้อมกัน

ทั้งนี้ เนื่องจากข้อเท็จจริงในสำนวนคดีเกี่ยวพันกัน ซึ่งการวินิจฉัยเรื่องยุบพรรค องค์คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีความตั้งใจจะดำเนินการให้เสร็จภายในเวลารวดเร็วที่ทุกฝ่ายจะต้องได้ความเป็นธรรมด้วย โดยส่วนตัวเห็นว่า การวินิจฉัยคดียุบพรรคน่าจะใช้เวลาไต่สวนพยานหลักฐานและมีคำวินิจฉัยได้ภายในเวลาไม่เกิน 2 เดือน ซึ่งการไต่สวนจะเป็นไปตามลำดับต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากกระบวนการไต่สวนคดีเริ่มได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เชื่อว่าไม่เกินเดือนมกราคม 2550 จะมีผลคำวินิจฉัยเรื่องสั่งยุบพรรคการเมืองได้

อาจเรียก"ทักษิณ"กลับมาชี้แจง


เมื่อถามว่า การไต่สวนเรื่องยุบพรรค จำเป็นที่องค์คณะตุลาการต้องเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่ปัจจุบันพำนักอยู่ต่างประเทศ เข้าให้ถ้อยคำด้วยหรือไม่ แหล่งข่าวตุลาการรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ต้องรอให้องค์คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้เห็นและตรวจพิจารณาข้อเท็จจริงในสำนวนเสียก่อน

แหล่งข่าวระบุว่า อย่างไรก็ตาม หากพบว่าสำนวนยังขาดข้อเท็จจริงในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ องค์คณะตุลาการรัฐธรรมนูญอาจดำเนินการคือ 1.เรียก พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าให้ถ้อยคำด้วยวาจาต่อหน้าองค์คณะตามกระบวนพิจารณาระบบไต่สวน ที่ตุลาการมีอำนาจเรียกสอบพยานหลักฐานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยตัวเองจนกว่าสำนวนคดีจะสมบูรณ์ 2.สั่งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยื่นคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร โดยยังไม่ต้องแสดงตนต่อองค์คณะ และ 3.เนื่องจากอุปสรรคการเดินทางจากต่างประเทศ ก็อาจใช้เทคโนโลยีระบบคอนเฟอเรนซ์ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ถ้อยคำด้วยวาจา ซึ่งความจำเป็นในการเรียกสอบ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและหลักฐานที่ปรากฏตามสำนวน

แฉบิ๊กขรก.ฝืนก.ม.นั่งบอร์ดหลายชุด


สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้เข้าตรวจสอบผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานของราชการและรัฐวิสาหกิจหลายคน ที่เข้าไปนั่งเป็นฝ่ายบริหาร หรือบอร์ดในรัฐวิสาหกิจและคณะกรรมการชุดต่างๆ พร้อมกันมากกว่า 3 แห่ง อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 และมติคณะรัฐมนตรี ทำให้ สตง.โดยคุณหญิงจารุวรรณ ซึ่งเป็นกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ด้วยอีกหนึ่งตำแหน่ง ทำหนังสือรายงานการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

รายงานข่าวจาก สตง.ระบุว่า หนังสือดังกล่าวของ สตง.ที่ทำถึงผู้บริหารประเทศทั้งสาม เป็นหนังสือรายงานเรื่องการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจและรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจที่เป็นกรรมการมากกว่า 3 แห่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ สตง.ได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจในรัฐวิสาหกิจ จนถึงเดือนมีนาคม 2549

"ซึ่งน่าจะพิจารณาได้ว่า ไม่ชอบด้วย มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ใดจะดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจเกิน 3 แห่งมิได้ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2523"

หนังสือของ สตง.ที่ทำถึงนายกรัฐมนตรี ประธาน คมช.และรมว.การคลัง ระบุด้วยว่า สตง.ยังเห็นว่า ตามที่มีหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ สร.0202/ว.76 ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2523 เรื่องหลักเกณฑ์การกำหนดประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และหากพิจารณารวมถึงการเป็นกรรมการหรืออนุกรรมการในคณะกรรมการอื่นอีกหลายคณะแล้ว อาจจะทำให้ไม่มีเวลาในการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด และอาจจะทำให้การบริหารราชการในส่วนราชการที่รับผิดชอบไม่มีประสิทธิภาพได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือของ สตง.ดังกล่าวระบุรายชื่อผู้ที่ สตง.ตรวจสอบพบว่าไปนั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจมากกว่า 3 แห่ง รวมทั้งกรรมการชุดอื่นๆ อีกหลายชุดจำนวนมาก แต่ที่สำคัญก็คือ ในหนังสือรายงานของ สตง.ระบุชื่อของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ด้วย ซึ่ง สตง.ระบุว่า ในช่วงการตรวจสอบถึงเดือนมีนาคม 2549 นั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

โดยในหนังสือของ สตง.ระบุว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นั่งเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจและกรรมการชุดต่างๆ ทั้งหมด 8 ชุด คือประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เบี้ยประชุม 2.5 หมื่นบาท ระหว่างเดือนมกราคม 2548-กุมภาพันธ์ 2549 รวมเป็นเงิน 3.5 แสนบาท, กรรมการทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ค่าเบี้ยประชุม 12,800 บาท ระหว่างเดือนเมษายน-ธันวาคม 2548 รวมเป็นเงิน 1.15 แสนบาท, ประธานกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระหว่างเดือนตุลาคม 2547-มีนาคม 2549 รวมเป็นเงิน 6.75 แสนบาท, กรรมการสำนักงาน ก.ล.ต.ระหว่างเดือนมกราคม 2548-มีนาคม 2549 เบี้ยประชุม 2 หมื่นบาท รวมได้ 3 แสนบาท, กรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ค่าเบี้ยประชุม 3 หมื่นบาท ระหว่างเดือนมกราคม 2548-มีนาคม 2549 รวมได้ 4.5 แสนบาท เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าในหนังสือดังกล่าวของ สตง.ระบุว่า บุคคลที่นั่งเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจและกรรมการชุดต่างๆ ที่มีอัตราค่าเบี้ยประชุม พบว่า คนที่ไปนั่งเป็นบอร์ดมากที่สุด คือ นายวุฒิพันธ์ วิชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ คือ 19 ชุด ตามด้วย นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง โดยพบว่านั่งเป็นกรรมการชุดต่างๆ 18 ชุด ตามด้วย นายสามารถ ยลภัคย์ อดีตรองปลัดกระทรวงคมนาคม ที่พบว่าเป็นกรรมการ 16 ชุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ในหนังสือดังกล่าวของ สตง.ยังระบุชื่อผู้ที่นั่งเป็นกรรมการในบอร์ดรัฐวิสาหกิจมากกว่า 3 แห่ง อีกหลายคนเช่น นายสามารถ ยลภัคย์ อดีตรองปลัดกระทรวงคมนาคม ที่เป็นกรรมการมากถึง 16 ชุด นายอนุชิต ธรรมวาทิน อธิบดีกรมสรรพสามิต เป็นกรรมการ 7 ชุด นายวุฒิพันธ์ วิชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รวม 19 ชุด นายอดิเทพ พิศาลบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.เคมีคอล เป็นกรรมการรวมทั้งหมด 10 ชุด ดร.จิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสำรวจผลิตและก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท.รวม 5 ชุด

นายพละ สุขเวช อดีตผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการทั้งหมด 10 ชุด นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.รวม 10 ชุด นายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมรวม 12 ชุด นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมธนารักษ์ รวม 7 ชุด

ครป.ชี้นโยบายรัฐสวยหรู-จับต้องไม่ได้


นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวในการแถลงข่าวเรื่อง "ครป.ชำแหละนโยบายรัฐบาลสุรยุทธ์" ว่า ภาพรวมนโยบายของรัฐบาลยังเป็นนามธรรม ติดอยู่กับหลักภาษาและวาทกรรม แต่ยังไม่เห็นแผนงานและกรอบเวลาที่ชัดเจนในแต่ละนโยบาย และไม่ได้จัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของปัญหาเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ถือเป็นรัฐบาลเฉพาะกาล ครป. จึงขอเสนอให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเร่งแปรนโยบายที่เป็นนามธรรมเหล่านี้ไปสู่แผนปฏิบัติการ โดยการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง หรือชูเป็นวาระแห่งชาติ

ชี้ คมช.ไม่มีเอกภาพ-หวั่นเกี้ยเซียะ


ด้านนายสุวิทย์ วัดหนู ที่ปรึกษา ครป.กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เห็นว่าการทำงานตลอด 1 เดือน ที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสำคัญด้านความมั่นคง แต่ไม่ใช่ปัญหาภาคใต้ เป็นเรื่องคลื่นใต้น้ำ

ซึ่งตนทราบข่าววงในว่า ตอนนี้ใน คมช.ก็ไม่มีความเป็นเอกภาพ จะมีการใช้การประนีประนอมยอมความ ภาพที่ออกมาก็จะเป็นปัญหา มีสัญญาณบ่งบอกว่ามีโอกาสที่จะ "เกี้ยเซียะ" ซึ่งอนาคตก็เหมือนมวยล้มต้มคนดู ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์