ทักษิณไม่ยอมให้ยุติการชุมนุม

 

คมชัดลึก : ก่อนเกิดเหตุพยายามลอบสังหาร 'เสธ.แดง' เขาบอกกับนักข่าวสำนักข่าวเนชั่นตอนหนึ่งว่า พี่ทักษิณเขาไม่ให้ม็อบเลิกหรอก เพราะถ้าเลิกก็ไม่ได้กลับบ้าน

 แต่กลับมีข้อเสนอ 4 ข้อ ที่ส่งผ่าน คุณนพดล ปัทมะ ที่ขัดกับสิ่งที่ “เสธ.แดง” ได้อ้างคำกล่าวของทักษิณโดยสิ้นเชิง

 ข้อเสนอล่าสุดของทักษิณต่อนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 4 ประเด็น คือ

 1.ยุติการใช้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจพร้อมอาวุธสงครามร้ายแรงทำการสลายการชุมนุมของประชาชนโดยทันที และสั่งให้เจ้าหน้าที่กลับกรม กอง ที่ตั้ง

 2.ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ประกาศในทุกจังหวัดโดยทันที

 3.เปิดการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมโดยทันที เพื่อหาทางออกทางการเมืองโดยสันติวิธี

 และ 4.ร่วมเจรจาหาแนวทางปรองดองอย่างแท้จริงกับทุกฝ่ายในชาติ เพื่อให้ประเทศชาติมีประชาธิปไตยและความยุติธรรม

 แถลงการณ์ฉบับนี้ บอกต่อด้วยว่า “ในขณะนี้ ประเทศยังพอมีทางออก และนายกรัฐมนตรีสามารถป้องกันการสูญเสียเฉพาะหน้า และนำชาติพ้นภัย ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ว่าจะเลือกแนวทางใด ระหว่างสันติวิธีกับการใช้ความรุนแรง”

 ย้อนไปดูวิดีโอลิงก์ของทักษิณ ตั้งแต่การชุมนุมของคนเสื้อแดง เริ่มต้นมาก็จะเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏในแถลงการณ์นี้ กับที่เขาเคยประกาศปลุกระดมให้ผู้คนมาร่วมกันต่อสู้ “เพื่อประชาธิปไตยอันแท้จริง” นั้น เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง

 เพราะเมื่อเขาเรียกร้องให้มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ “ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน” และนายกฯ อภิสิทธิ์ กำหนดวันเลือกตั้ง 14 พฤศจิกายนแล้วด้วยซ้ำ เหตุไฉนทักษิณจึงยัง “ไม่ยอมให้ม็อบสลายตัว” อย่างที่ “เสธ. แดง” บอกกับนักข่าว?

 หากการชุมนุมของคนเสื้อแดง “เกินเลยเรื่องของผมแล้ว” อย่างที่ทักษิณกล่าวอ้างในช่วงหลัง ไฉนเขาจึงเรียกร้องให้ “พี่น้องมากันเยอะๆ ... คิดถึงผมไหม ผมจะกลับประเทศเพื่อยกเลิกหนี้สิน และให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ... และจะสร้างเขื่อนรอบๆ กรุงเทพฯ เพื่อป้องกันน้ำท่วม”

 ข้อเรียกร้องล่าสุดของทักษิณ ไม่จำเป็นเลย หากแกนนำ นปช. เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการปรองดอง เพื่อนำไปสู่การยุบสภาและเลือกตั้งตามที่นายกฯ อภิสิทธิ์เสนอ เพราะหากเข้าสู่กระบวนการนี้แล้ว ข้อเรียกร้องข้อ 1 และข้อ 2 ของทักษิณก็ไม่มีความจำเป็น

 เพราะทหารและตำรวจก็ต้องกลับกรม กอง และประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

 ข้อเรียกร้องที่สามของทักษิณ ที่ให้มีการ “เปิดการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมทันที เพื่อหาทางออกทางการเมืองโดยสันติวิธี” นั้น เป็นข้อที่สร้างความประหลาดใจพอสมควร

 เพราะทันทีที่ทักษิณออกแถลงการณ์นี้ แกนนำเสื้อแดง อย่าง คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ประกาศกลางเวที ว่า “สถานการณ์มาถึงจุดนี้ เกินเลยการเจรจาแล้ว นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องลาออกอย่างเดียว”

 และวันต่อมา แกนนำเสื้อแดงอีกคนหนึ่ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลับเสนอให้มีการเจรจากับรัฐบาล แต่มีเงื่อนไขใหม่ นั่นคือ สหประชาชาติต้องเป็น “คนกลาง”

 นี่แปลว่า ทักษิณไม่อาจจะคุมสถานการณ์ของคนเสื้อแดงได้อีกต่อไปแล้ว

 หรือนี่เป็นการเล่นเกมสองหน้า... ด้านหนึ่ง ประกาศก้องว่านี่คือการต่อสู้เพื่อ “ประชาธิปไตยด้วยสันติวิธีและอหิงสา”

 อีกด้านหนึ่ง คือ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” และ “จปร.รุ่นมีบัญชีต้องสะสาง” ที่อยู่เบื้องหลัง “ยุทธการบนท้องถนน” ที่พรั่งพร้อมไปด้วยเอ็ม 79 และอาวุธสงครามอื่นๆ

 กลุ่มแรกกับกลุ่มสอง และกลุ่มอื่นๆ รับรู้ในปฏิบัติการต่างๆ ของ “เครือข่าย” ที่โยงไปถึงทักษิณ มากน้อยเพียงใดไม่มีใครรู้ เพราะทักษิณอาจจะเดินแผน “แยกกันตี” เพื่อบรรลุเป้าหมายสุดท้ายของตน นั่นคือ การกลับมามีอำนาจทางการเมือง ไม่ต้องรับโทษตามคำสั่งของศาล และเอาทรัพย์สินเงินทองที่ถูกยึดตามคำพิพากษาของศาลกลับคืนมา

 สำหรับเขาเป้าหมายไม่เคยเปลี่ยน วิธีการต่างๆ เท่านั้น ปรับไปตามจังหวะจะโคน ตามการขึ้นลงของอำนาจต่อรองของตนในแต่ละย่างก้าว

 แต่บาปกรรมที่ได้ก่อเอาไว้ก็คือว่า เพราะ “กลยุทธ์หลายหน้า” ของทักษิณ ทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็น “war zone” และการจลาจลที่เกิดขึ้น ทำให้คนไทยต้องเสียชีวิต เลือดเนื้อ และบ้านเมืองต้องแตกแยกไม่มีชิ้นดี

 นอกจากทักษิณ จะถามอภิสิทธิ์ ว่า "จะเลือกแนวทางใด ระหว่างสันติวิธีกับการใช้ความรุนแรง" อย่างที่ปรากฏในแถลงการณ์ฉบับล่าสุดแล้ว ทักษิณก็จะต้องย้อนถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน

 เพราะตราบเท่าที่เขายังใช้ “ม็อบ” เป็นอำนาจต่อรองของตน เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตและเลือดเนื้อ ของพี่น้องร่วมชาติ ที่ตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงภัยทุกชั่วโมง โดยที่เจ้าตัวเสวยสุขอยู่ต่างแดนเช่นที่เห็นอยู่และเป็นไป



สุทธิชัย หยุ่น


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์