ศาลยกคำร้องเสื้อแดงพ้นราชประสงค์

 

คมชัดลึก :ศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้องที่ “นายกฯ” ขอให้มีคำสั่งให้ “แกนนำนปช.- เสื้อแดง” พ้นแยกราชประสงค์ หลังอัยการ ส่ง “ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล ” รอง ผบช.น. เบิกความร่วม นายทหารสังกัด กอ.รมน. – ผบก.น.5 เสร็จ


ออกจากพื้นที่ ถ.ราชดำริ ตั้งแต่แยกราชประสงค์ถึงแยกประตูน้ำ , ถ.ราชดำริ ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงสถานีรถไฟฟ้าราชดำริ , ถ.พระรามที่ 1 ตั้งแต่แยกราชประสงค์ถึงแยกปทุมวัน และถ.เพลินจิต ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงแยกชิดลม ตามที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ ( ศอ.รส.) ประกาศข้อกำหนด ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 รวมทั้งขอให้ศาลสั่งห้ามแกนนำทั้งห้า และผู้ชุมนุมเข้าไปในบริเวณ ถ.พรพราม 4 ด้วยโดยให้มีผลบังคับทันทีตามที่ศาลมีคำสั่ง


ศาลแพ่ง มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา ต่อมาเวลา 12.50 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 402 ศาลเริ่มไต่สวนพยานผู้ร้อง

ซึ่งเบิกความ รวม 3 ปาก ปากแรก พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ทหารสังกัด กอ.รมน. ระบุว่า การที่กลุ่มเสื้อแดงชุมนุม บนถนนราชประสงค์ ทำให้การจราจรติดขัดประชาชนผู้ใช้รถ ใช้ถนนได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า บริษัท โรงพยาบาล และโรงแรม ที่ประกอบธุรกิจ ได้รับผลกระทบ การชุมนุมดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แม้จะมีการออกประกาศเตือนฉบับที่ 5 ให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่เนื่องจากเป็นการทำผิดกฎหมาย และประกาศฉบับที่ 6 ห้ามมิให้ผู้ชุมนุมเข้าไปบริเวณถนน 11 สายแล้วก็ตามแต่กลุ่มผู้ชุมนุมยังคงนิ่งเฉยไม่ปฎิบัติตาม


นอกจากนี้แกนนำกลุ่มเสื้อแดงยังคงปราศรัยยั่วยุ ปลุกปั่นก่อให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้น และยังเดินทางไปชุมนุมในที่ต่างๆ

ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยต่อประชาชนไม่สามารถใช้ถนนได้ โดยสมาคมธุรกิจย่านราชประสงค์ และสมาคมศูนย์การค้าไทย ออกแถลงการณ์เนื่องจากได้รับผลกระทบต่อธุรกิจไม่สามารถเปิดบริการได้ทำให้ได้รับความเสียหาย โดยเจ้าหน้าที่ประสงค์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับผู้ชุมนุม เพราะหากเจ้าหน้าที่จะดำเนินการใช้อำนาจเด็ดขาดปราบปรามประชาชนแล้ว อาจมีผลกระทบต่อประชาชนที่บริสุทธิ์ เพราะผู้ชุมนุมมีเป็นจำนวนมาก


ต่อมา พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 เบิกความสรุปว่า ได้นำประกาศฉบับที่ 5 และ 6 ไปมอบให้แกนนำและผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงทราบ คำสั่งที่ให้ออกจากถนนราชประสงคและห้ามเข้าถนน 11 สายสำคัญแล้ว เพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อน โดยบริเวณดังกล่าวเป็นสถานที่ตั้งธุรกิจสำคัญและเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่สามารถเดินทางเข้า-ออกได้โดยสะดวกตามปกติ ซึ่งได้เจรจากับแกนนำแล้วยอมเปิดช่องเดินรถ 1 ช่องทาง แต่เมื่อผู้ชุมนุมมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากช่องทางดังกล่าวก็ถูกปิดไปโดยปริยาย ขณะที่การชุมนุมปรากฏว่ามีการกระทบกระทั่งกับประชาชนเป็นระยะ อาทิ เหตุการณ์มีผู้ขับรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ของผู้ชุมนุมล้มเสียหายเกิดการรุมทำร้าย จนเจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปห้ามปราม และมีการแจ้งความดำเนินคดี


ขณะที่ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. พยานปากสุดท้าย เบิกความสรุปว่า การชุมนุมของเสื้อแดงบน ถ.ราชประสงค์

ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อการคมนามของกรุงเทพฯ ส่งผลกระทบให้ประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนต้องหลีกเลี่ยงเส้นทาง โดยประชาชนที่เดินทางมาจาก ถ.สีลม-สาธร จะมุ่งหน้าไป ถ.วิภาวดีรังสิต ต้องอ้อมไปใช้ถ.พญาไทขาออก หากมาจาก ถ.พระราม 1 ต้องเลี่ยงไปใช้ ถ.พญาไท ส่วนที่จะมาจาก ถ.สุขุมวิท ต้องเลี่ยงไปใช้ถ.วิทยุ และพระราม 4 ทำให้การจราจรติดขัดหนาแน่นต่อเนื่อง ขณะที่โรงพยาบาลตำรวจจากเดิมที่ผู้ป่วยและญาติ สามารถเข้าใช้บริการได้ 3 ช่องทาง เหลือทางเข้าได้เพียงช่องทางเดียวคือ ถ.อังรีดูนังต์ ซึ่งโรงพยาบาลได้ทำแบบสอบถามผู้ป่วยและญาติจำนวน 116 คน ที่มาใช้บริการในวันที่ 4 เม.ย.ที่มีการชุมนุม พบว่าร้อยละ 84.7 ได้รับความไม่สะดวกในการเดินทาง และร้อยละ 82.9 ได้รับความไม่สะดวกจากเสียงรบกวน นอกจากนี้รถโดยสารประจำทางกว่า 20 สายต้องหยุด-และเปลี่ยนเส้นทางการให้บริการทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน


ทั้งนี้เมื่อไต่สวนพยานเสร็จสิ้นแล้วเมื่อเวลา 15.30 น. ศาลแจ้งให้คู่ความรองฟังคำสั่งที่จะออกภายในเย็นวันนี้


ล่าสุดเมื่อเวลา 18.20 น. ศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้อง ที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.รมน. ซึ่งมีอำนาจตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอณาจักร พ.ศ.2551 ที่ร้องขอให้ศาลมีคำบังคับ ให้ 5 แกนนำเสื้อแดงและกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนออกจากสี่แยกราชประสงค์ ซึ่ง ศอ.รส.ได้ประกาศกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวห้ามชุมนุม


ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การออกประกาศห้ามชุมนุมในพื้นที่ดังกล่าว ได้อาศัยอำนาจตาม มาตรา 16 และ 18 ของ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งมีผลบังคับได้โดยทันทีอยู่แล้ว ผอ.รมน.ในฐานะผู้มีอำนาจตาม พ.ร.บ.ไม่จำเป็นต้องมายื่นคำขอให้ศาลมีคำบังคับเรื่องดังกล่าวอีก  และหากไม่สามารถดำเนินการได้ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ก็ให้อำนาจ ผอ.รมน.ในการป้องกันปราบปรามและยับยั้ง รวมทั้งแก้ไขที่กระทบต่อความมั่นคงคืนสู่สภาวะปกติได้


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์