สายตรงทำเนียบ:วิเคราะห์เสื้อแดง ชุมนุมใหญ่ หวังแตกหัก14-17มี.ค.

หมายเหตุ"มติชนออนไลน์" เป็นรายงานหน่วยข่าวของรัฐที่ประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต่านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มเสื้อแดงระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม 2553 โดยประเมินว่า จากการเตรียมการของบรรดาแกนนำ นปช.ในส่วนกลางและต่างจังหวัด รวมทั้งท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแล้วน่าจะต้องการให้แตกหักหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายใน 7-8 วัน และคาดว่า  สถานการณ์จะตึงเครียดที่สุดในช่วงระหว่าง 14-17 มีนาคม 2553

รายงานข่าวดังกล่าวยังวิเคราะห์ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวกลุ่มมือที่สามซึ่งมีอยู่ 5 กลุ่ม เป็นอดีตนายหทาร อาจสร้างสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การก่อเหตุจลาจล

***************************************************
ประเมินสถานการณ์การชุมนุมกลุ่ม นปช.ตั้งแต่ 12  มีนาคม 2553

1.การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งแต่ 12 มี.ค. 53 เป็นต้นไป เมื่อประเมินจากการเตรียมการของบรรดาแกนนำ นปช.ในส่วนกลางและต่างจังหวัด รวมทั้งท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วน่าจะเป็นการชุมนุมให้แตกหักภายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ยืดเยื้อ หวังผลจะกดดันให้รัฐบาลต้องยุบสภาหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายใน 7-8 วัน คาดว่าสถานการณ์จะตึงเครียดที่สุดในช่วงระหว่าง 14-17 มี.ค.53


2.ลักษณะการชุมนุมแม้จะเป็นการรุกเพื่อกดดันรัฐบาลพร้อมกันของ นปช.ทั้งในต่างจังหวัด และ กทม. แต่กลุ่มที่จะมีผลต่อการแพ้-ชนะน่าจะเป็นมวลชนในเขต กทม. ปริมณฑล และภาคกลาง ส่วน นปช.จากต่างจังหวัดที่เคลื่อนกำลังเข้าสู่พื้นที่ กทม. นอกจากเป็นกำลังเสริมแล้ว ยังอาจหวังให้เกิดจุดอ่อนต่อฝ่ายความมั่นคงที่จะต้องแบ่งกำลังไปสกัดกั้นจนทำให้พื้นที่ กทม.มีปัญหา รวมทั้งขัดขวางการส่งกำลังทหาร และตำรวจจากต่างจังหวัดมาเสริมพื้นที่ กทม.


3.ผลกระทบจากการชุมนุม ประเมินตามห้วงเวลา


3.1 ช่วงการรวมพล ใน 12 มี.ค. 53 สถานการณ์ไม่น่าจะรุนแรง เนื่องจากเป็นการนัดหมายรวมตัวตามจุดนัดพบในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศในเวลา 12.12 น. การเคลื่อนมวลชนไปยังจุดรวมพลจะเริ่มที่ภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือก่อน โดยจุดรวมพลของภาคเหนืออยู่ที่ จ.นครสวรรค์ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ จ.นครราชสีมา

ส่วนในพื้นที่ กทม.จะเริ่มการชุมนุมกลุ่มย่อยตามจุดต่างๆ ซึ่งใช้เป็นจุดรวมพลรวม 6 จุดได้แก่ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, อนุสาวรีย์หลักสี่, พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 หน้าสวนลุมพินี สน.ทุ่งสองห้อง ถ.กำแพงเพชร 7. สี่แยกบางนา, สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ถนนมิตรไมตรี ปริมณฑล ได้แก่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ รังสิตคลอง 4 และลำลูกกาคลอง 4

3.2 ช่วงการเคลื่อนมวลชนเข้า กทม.ใน 13 มี.ค. 53 นปช.ทุกภาคจะเคลื่อนมวลชนมา กทม.โดยใช้ถนนสายหลักของทุกจังหวัด สถานการณ์ช่วงนี้จะมีผลกระทบต่อสภาพการจราจรอย่างมาก เนื่องจากเป็นวันเสาร์ที่สภาพการจราจรมีความหนาแน่นอยู่แล้วเป็นปกติและมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการใช้รถใช้ถนนกับกลุ่ม นปช.

3.3 การชุมนุมใหญ่ที่ กทม.ตั้งแต่  14 มี.ค.53 มวลชน นปช.จากต่างจังหวัดทุกกลุ่มจะเดินทางถึง กทม. ขณะที่กลุ่ม นปช.ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลจะเคลื่อนมวลชนจากจุดรวมพล 10 จุดรอบ กทม.เดินทางเข้าสู่พื้นที่ชุมนุมใหญ่ ซึ่งกำหนดไว้ที่บริเวณแยกผ่านฟ้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สนามหลวง ลานพระราชวังดุสิต และพื้นที่ใกล้เคียง (ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ชุมนุม)


สถานการณ์ในห้วงดังกล่าวจะเกิดปัญหาด้านการจราจรอย่างมาก และหากการเคลื่อนขบวนของ นปช.มีการกระตุ้นให้เกิดความฮึกเหิม หรือมีการสร้างสถานการณ์จากมือที่สาม อาจเกิดความรุนแรงได้ง่าย


3.4 ช่วงที่มีความเปราะบางน่าจะเริ่มตั้งแต่เย็นวันที่ 13-14 มี.ค. 53 เป็นต้นไปเนื่องจากจะมีมวลชนรวมตัวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง การควบคุมมวลชนจะมีปัญหามากที่สุด และหากมีการปลุกเร้ามวลชนมากขึ้นจนขาดสติ มีความเสี่ยงสูงที่มวลชนจะกลายสภาพเป็นม็อบที่ขาดการควบคุม จนอาจมีการเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการ และเอกชนได้


นอกจากนี้กลุ่มมือที่สามก็อาจจะเลือกใช้เวลานี้สร้างสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การก่อเหตุจลาจลได้


4.จำนวนมวลชนและยานพาหนะ ประเมินจนถึงช่วง 10 มี.ค. 53 คาดว่าจะมวลชนเข้าร่วมทั้งหมดประมาณ 70,000 คน (สูงสุดประมาณ 100,000 คน) ยานพาหนะทุกประเภทประมาณ 5,000 คัน

สำหรับจำนวนมวลชนที่จะเดินทางเข้าร่วมการชุมนุม แยกตามภาคมีดังนี้ภาคเหนือ ประมาณ 5,800 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 20,000 คน ภาคกลางและภาคตะวันตกประมาณ 2,500 คน ภาคตะวันออกประมาณ 10,000 คน ภาคใต้ ประมาณ 500 คน และ กทม./ปริมณฑล 30,000 คน

อย่างไรก็ตาม การประเมินจำนวนรถทำได้ยาก เพราะ นปช.ในพื้นที่ภาคกลาง กทม.และปริมณฑลอาจนำรถเข้าไปเองโดยไม่ลงทะเบียน


5.กลุ่มที่อาจสร้างสถานการณ์ น่าจะมี 5 กลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายของนายทหารและอดีตนายทหารที่นิยมแนวทางรุนแรงและไม่พอใจรัฐบาล หรือประธานองคมนตรีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ได้แก่ กลุ่ม พล.ต." ข."  พล.อ. "พ."  กลุ่มนายทหารรุ่น 10 ที่มีพฤติกรรมเชื่อมโยงกลุ่มมาเฟีย นายทหารในสังกัด พล.อ. ช. และกลุ่มของนักการเมืองที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณและมีประวัติชอบใช้ความรุนแรง


6.จุดมุ่งหมาย วิธีการ และเป้าหมายของกลุ่มสร้างสถานการณ์ มีความเป็นไปได้ที่จะใช้การก่อเหตุเพื่อกระตุ้น/ยั่วยุ ให้สถานการณ์การชุมนุมทวีความร้อนแรง ทั้งการวางเพลิงลอบวางระเบิด/ขว้างระเบิด  หรือ ซุ่มยิง M-79 เข้าใส่สถานที่ราชการหรือแม้กระทั่งในกลุ่มผู้ชุมนุม โดยอ้างว่าฝ่ายรัฐบาลเป็นฝ่ายสร้างสถานการณ์เองเพื่อที่จะปราบปรามประชาชน

นอกจากนี้ จากที่กลุ่ม นปช.เป็นที่เกลียดชังของกลุ่มบุคคลหลายกลุ่ม เช่น บุคคลในย่านชุมชนใกล้ทำเนียบรัฐบาลที่เคยถูกกลุ่ม นปช.ทำร้าย จึงอาจมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะตอบโต้ล้างแค้นได้เช่นกัน


7.เครื่องมือด้านสงครามข่าวสาร เครื่องมือของกลุ่ม นปช.มีความหลากหลาย ทั้งการใช้วิทยุชุมชน สถานีโทรทัศน์ของกลุ่ม สื่อสิ่งพิมพ์ของกลุ่ม เว็บไซต์ การส่งข้อความสั้น (SMS) และการประชุมกลุ่มย่อยเป็นช่องทางสำคัญในการให้ข้อมูลข่าวสาร ปลุกเร้า/ปลูกฝังความคิดอุดมการณ์แก่สมาชิกของกลุ่ม และประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังใช้เครือข่ายแท็กซี่เผยแพร่ข้อมูลผิดๆ แก่ประชาชนที่ใช้บริการ

นอกจากนี้ การสร้างสถานการณ์ให้ปรากฏเป็นข่าวอย่างสม่ำเสมอ ยังมีผลทำให้สื่อมวลชนทั่วไป ทั้งวิทยุและโทรทัศน์ให้ความสนใจรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช.มาโดยตลอด


8.ส่วนเครื่องมือด้านสงครามข่าวสารของฝ่ายรัฐ ส่วนใหญ่เป็นวิทยุ โทรทัศน์ในเครือของกรมประชาสัมพันธ์ และวิทยุชุมชนในเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทยเป็นหลัก

ขณะที่สื่ออื่นๆ มีการรายงานข่าวสารอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวถูกวิจารณ์ว่าขาดความเป็นกลาง

ดังนั้นการทำสงครามข่าวสารของฝ่ายรัฐจึงเสียเปรียบ นปช.และยังไม่สามารถโน้มน้าว/ชักจูงให้กลุ่มบุคคลที่หลงเชื่อข้อมูลของ นปช.ปรับเปลี่ยนความคิดได้


แผนการเคลื่อนกำลังของ นปช.

ภาคเหนือ รวมพลที่ จ.นครสวรรค์ ผู้นำ คือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ และกลุ่มเชียงใหม่ 51


ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมพลที่ จ.นครราชสีมา ผู้นำ คือ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นายขวัญชัย ไพรพนา นายนิสิต สินธุไพร และ นายสุทิน คลังแสง


ภาคกลางและภาคตะวันตก รวมพลที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้นำ คือนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และนายพายัพ ปั้นเกตุ ทั้งนี้ กลุ่มนี้จะรอกลุ่มจาก ภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ.มาสมทบแล้วเคลื่อนพลพร้อมกัน

ภาคตะวันออก รวมพลที่ พัทยา จ.ชลบุรี ผู้นำ คือ นายสำเริง  ประจำเรือ


ภาคใต้ รวมพลที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้นำ คือ นายจรัล ดิษฐาภิชัย และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย


กทม.แยกเป็น 10 กลุ่ม กระจายรอบ กทม.แล้วเคลื่อนมวลชนพร้อมกัน ได้แก่ วงเวียนใหญ่ สี่แยกหลักสี่ สวนลุมพินี สน.ทุ่งสองห้อง สี่แยกบางนา สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง ศาลากลาง จ.นนทบุรี บริเวณรังสิตคลอง 4 ลำลูกกา คลอง 4 และศาลากลาง จ.สมุทรปราการ

*******


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์