ทักษิณตีปลาหน้าไซ ปลุกผี ปฏิวัติ วัดใจขุมกำลัง

"ปูดข่าว แป้ก"


มุกปูดข่าว "ปฏิวัติ" ส่อเค้า "แป้ก" เหตุกำลังหลักล้วน "ตท.10" เพื่อนนายกฯ แถมทหารเองยังแหยง เพราะกระแสสังคมไม่เล่นด้วย บิ๊กบัง ย้ำทหารไม่คิดปฏิวัติ

การออกมาเล่นบท "ตีปลาหน้าไซ" ว่า จะมีการ "ปฏิวัติ" เพื่อล้มล้างระบอบการปกครอง กลายเป็น "ข่าวลือ" ที่ลือกันอย่างสนุกปากในเวลานี้ ยิ่งมีข่าว "คาร์บอมบ์" เข้ามาเติมเชื้อเข้าไปอีก ก็ดูจะเข้าทางใครบางคน

การปูดข่าว "ปฏิวัติ" ที่ก่อตัวมาจากข่าว "คาร์บอมบ์" ในขณะที่คาร์บอมบ์เอง ชาวบ้านยังเชื่อว่าเป็น "คาร์บ๊อง" ก็เลยทำให้ข่าวปฏิวัติกลายเป็น "มุกแป้ก" หรือ "มุกด้าน"

เพราะวิธีการแบบนี้ คนเริ่มชิน ทุกครั้งที่รัฐบาล "กระแสตก" ก็มักจะมีขบวนการ "สร้างข่าว" เพื่อกลบเกลื่อนข่าวที่ฉุดกระแสของตนแทบทุกครั้ง!?

ใช่-ไม่ใช่ไม่รู้ แต่บางคนจับแพะมาชนกับแกะได้ว่า ข่าวคาร์บอมบ์ ก่อนจะตามมาด้วยข่าวปฏิวัติ ถือเป็น "ข่าวเด็ด" ที่จะมาแย่งชิงพื้นที่ข่าวฉาว "ตื้บม็อบไล่นายกฯ" ได้เป็นอย่างดี!?!?

"ปล่อยข่าวลวง"


พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ก็มองสอดคล้องกันว่า การปูดข่าวปฏิวัติ น่าจะเป็นการปล่อย "ข่าวลวง" เพื่อดิสเครดิต และปรามไม่ให้ทหารก่อการปฏิวัติเสียมากกว่า

ข้อสังเกตที่ไม่เคยพลาดมาแต่ไหนแต่ไรในเรื่องข่าวปล่อยข่าวลวงก็คือ

ถ้าอยากรู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ-ข่าวลวง ก็ให้พิจารณาว่า ข่าวนั้นเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดหรือไม่...คราวนี้ก็ลองหลับตานึกดีๆ แล้วคงจะจิ้มนิ้วชี้เปรี้ยงไปได้ไม่ยากว่า "ไอ้โม่ง" ที่สามารถ "ตีกิน" ได้หลายต่อจากข่าวปฏิวัตินี้...คือใคร!?!?

อย่างไรก็ตาม ในการปฏิวัติที่ผ่านมานั้น ขุมกำลังที่ใช้ในการก่อการมีอยู่ 3 หน่วยหลักๆ คือ

1.กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.)

2.กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.)

3.กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.)

"เพื่อนร่วมรุ่น"


ในแง่ของ "สายการบังคับบัญชา" ทั้ง 3 หน่วยงานหลักนี้ ผบ.ทบ.มีอำนาจสั่งการโดยตรงก็จริง แต่ "สายสัมพันธ์ส่วนตัว" ในยุคนี้ ผู้บังคับบัญชาของทั้ง 3 หน่วยงานล้วนแต่เป็น "ตท.10" เพื่อนร่วมรุ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ทั้งสิ้น

1.พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต ผบ.พล.1 รอ.

2.พล.ต.ศานิต พรหมมาศ ผบ.พล.ม.2 รอ.

3.พล.ต.เรืองศักดิ์ ทองดี ผบ.พล.ปตอ.

ฉะนั้นจึงแทบจะ "ปิดประตูตาย" สำหรับการก่อการปฏิวัติด้วยฝีมือของทั้ง 3 กองพลนี้ แม้ภายหลังกองทัพจะ "แก้ลำ" ฝ่ายการเมืองด้วยคำสั่งโยกย้าย "ผู้บังคับกองพัน" ซึ่งถือเป็น "เด็กสร้าง" ของผู้บังคับบัญชาทั้ง 3 หน่วยงานชนิด "ยกลอต" เพื่อเป็นการคานอำนาจก็ตาม!!!

ล่าสุด ก่อนบินด่วนไปโชว์วิสัยทัศน์เมืองนอก พ.ต.ท.ทักษิณ ก็โผล่ไปเยี่ยมเยียน พล.ต.ศานิต ถึง พล.ม.2 รอ. ด้วยข้อราชการอัน "ไม่สามารถเปิดเผย" แต่จงใจที่จะเปิดร่องรอยการเดินทาง การพบปะกันให้สื่อได้รู้ ราวกับต้องการจะสื่อไปถึงใคร กลุ่มใด?

"โชว์วิสัยทัศน์ข้ามโลก"


แต่ไม่รู้ว่า ข้อราชการดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับข่าว "ปฏิวัติ" หรือไม่ เพราะเห็นท่านนายกฯ โชว์วิสัยทัศน์ข้ามโลกมาด้วยว่า ได้ยินกระแสข่าวเรื่องการปฏิวัติจริง!?!?

ข้อพึงระลึกอีกข้อก็คือ การปฏิวัติจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ นอกจาก "ขุมกำลัง" แล้วก็ ต้องรอดู "ทิศทางลม" ด้วยว่า ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองท่าน "ให้ไฟเขียว" หรือไม่

เมื่อได้ทั้งขุมกำลังและไฟเขียวผ่านตลอดแล้ว ก็ต้องไปถาม ผบ.กองพัน ที่ควบคุมกำลังว่าจะ "เอาด้วย" หรือไม่...เรื่องนี้ลองไปถาม ผบ.กองพัน รุ่น (อดีต) ยังเติร์กอย่าง พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ดูก็ได้ว่า ศักยภาพของผู้บังคับกองพันในอดีต โดยเฉพาะในสมัย จปร.7 นั้น มีมากน้อยแค่ไหน!!!

แต่สำหรับ ผบ.กองพัน ยุคนี้ คงหวังที่จะเอาด้วยยาก เพราะฉากการปฏิวัตินั้นขาดตอนไปจากสังคมไทยนานแล้ว และเป็นเรื่องที่เสี่ยงเอามากๆ เพราะถ้าหากพลาดก็จะถูกตราหน้าว่าเป็น "กบฏ" สถานเดียว

สรุปแล้ว การปฏิวัติ-รัฐประหารในยุคนี้ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ เหมือนแต่ก่อน เพราะขุมกำลังหลักก็อยู่ในคาถาของรัฐบาลหมดแล้ว ส่วนทหารก็คงไม่เอาด้วย เพราะกระแสสังคมไม่เอื้อ!

"อดีตขุมกำลัง"


แต่ก็น่าแปลกที่ยังมีคนอุตส่าห์ขุดกรุ "ผี จปร.7" กลับมา "หลอกเด็ก" ได้อีกรอบ!!!

เขี้ยวเล็บ 3 หน่วยงานหลัก

(อดีต) ขุมกำลัง "นักปฏิวัติ"

1.กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) มีกำลังหลักที่ขึ้นตรงคือ 3 กรมทหารราบ ได้แก่ ร.1 ที่วิภาวดีฯ ร.11 ที่บางเขน และ ร.31 ที่ จ.ลพบุรี หน่วยงานนี้เป็นหน่วยหลักใน กทม. ที่คุมกำลังหลักกว่า 90% ในเมืองหลวง ดังนั้น ในอดีตจึงถูกใช้เป็น "ขุมกำลังการปฏิวัติ" มาโดยตลอด

ม.พัน.4 รอ. ถือเป็น "หน่วยรถถัง" ที่มีศักยภาพในการโจมตีสูง และเป็นหน่วยที่ใช้กำลังในการปฏิวัติรัฐประหารในอดีต

2.กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มีหน่วยขึ้นตรง 3 กองพัน ได้แก่ ม.พัน.1, ม.พัน.2 และ ม.พัน.17 ซึ่งเป็น "หน่วยรถถังกำลังหลัก" ของกองทัพบก มีอำนาจหน้าที่เคลื่อนย้ายกำลังพลทหารม้าเข้ายึดพื้นที่สำคัญต่างๆ เนื่องจากเป็นหน่วยกำลังรบที่ขึ้นตรงต่อ ผบ.ทบ.

พล.ม.2 รอ. เป็นหน่วยที่มียุทธวิธีการรบขั้นแตกหัก และใช้ในการยึดพื้นที่ มีหน้าที่รบตามยุทธวิธีรุกและรับ เข้ายึดพื้นที่ ลาดตระเวน และป้องกันรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตพระนคร

3.กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.) มี 2 กรม คือ ปตอ.2 พัน.1 และ ปตอ.2 พัน.4 เป็นหน่วยสำคัญในการปฏิวัติรัฐประหารในอดีต เพราะเป็นหน่วยที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดหนัก และมีอำนาจหน้าที่ป้องกันภัยทางอากาศ

ตำนาน "นักปฏิวัติอาชีพ"


ของแท้ ต้อง...มนูญ (กฤต)

หากจะย้อนตำนานการปฏิวัติ-รัฐประหารในเมืองไทย ชื่อของ "จปร.7" หรือในนามกลุ่ม "ยังเติร์ก" ย่อมได้รับการยกย่องให้เป็น "เบอร์ 1" อย่างไม่ต้องสงสัย

แค่เอ่ยชื่อขุนพลลำดับต้นๆ เช่น พล.ต.มนูญ (กฤต) รูปขจร พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร ฯลฯ คอการเมือง-การทหารเมื่อหลายสิบปีก่อนคงซี้ดปากกันเป็นแถว เพราะแต่ละรายขึ้นชื่อว่า เป็น "ตัวจี๊ด" ทั้งสิ้น

ทว่า ชื่อที่เป็นสัญลักษณ์หมายเลข 1 ของ "นักปฏิวัติมืออาชีพ" ย่อมต้องยกให้ พล.ต.มนูญกฤต ซึ่งมีชื่อเดิมว่า มนูญ รูปขจร เกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2478 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา

ปี 2503 จบการศึกษาปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต (ทบ.) จากโรงเรียนนายร้อย จปร.รุ่น 7 สามารถสอบเข้าเรียนผู้บังคับการกองร้อยได้ที่ 1 จนได้ทุนไปเรียนต่อที่ฟอร์ทนอกซ์ สหรัฐอเมริกา และจบปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพัฒนาสังคม จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี 2526

เส้นทางชีวิตราชการไต่เต้าอยู่ใน "หน่วยรถถัง" มายาวนาน เคยไปประจำการที่สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเคยผ่านสมรภูมิเวียดนามมาแล้ว

"เริ่มมีบทบาททางการเมือง"


วันที่ 1 ตุลาคม 2516 ได้ขึ้นเป็น พ.ท.มนูญ รูปขจร ตำแหน่ง ผบ.ม.พัน.4 และเริ่มมีบทบาททางการเมืองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังอสัญกรรมอย่างปริศนาของ พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เมื่อต้นปี 2519

ช่วงนั้นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ถูกฝ่ายการเมืองครอบงำจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ส่งผลให้ทหารระดับ "คุมกำลัง" โดยเฉพาะ จปร.7 สามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนได้อย่างน่าเกรงขาม จึงไม่ค่อยกินเส้นกับรุ่นพี่อย่าง จปร.5 นำโดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี และ พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท เพราะ จปร.7 โต "ข้ามหัว" รุ่นพี่อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสาย "หน่วยรบ"

ชื่อของ พล.ต.มนูญกฤต ถูกโยงเข้ากับการปฏิวัติครั้งแรกใน "รัฐประหาร" เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันแน่ชัด

แต่ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการครั้งแรก คือ การยึดอำนาจจาก นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520

นายทหารยังเติร์กกลุ่มนี้ภายหลังมีบทบาทอย่างสูงในรัฐบาลของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ โดยพลังอำนาจของกลุ่มยังเติร์กมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถกดดันให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ประกาศ "ลาออก" กลางสภา ก่อนจะผลักดันให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ แทน

ปรากฏการณ์ครั้งนั้นเรียกขานกันว่าเป็น "รัฐประหาร (เงียบ)"


ปี 2524 พล.ต.มนูญกฤตได้เป็น "เลขาธิการคณะปฏิวัติ" ในเหตุการณ์ "เมษาฮาวาย" แต่ไม่สำเร็จ และถูกจับกุม แต่ได้รับนิรโทษกรรมในภายหลัง จึงไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

จากนั้นไม่นานก็ทำรัฐประหารซ้ำอีกครั้ง เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2528 แต่ก็ไม่สำเร็จ คราวนี้ต้องหนีไปอยู่ประเทศเยอรมนีนานถึง 3 ปี ซ้ำยังถูก "ถอดยศ" อีกด้วย

แต่ด้วยความที่สนิทกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ รวมทั้ง นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ บุตรชายของ พล.อ.ชาติชาย ซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดังนั้นในยุคที่ พล.อ.ชาติชาย เป็นนายกฯ จึงได้เดินทางกลับประเทศไทย และกลับเข้ารับราชการ ก่อนจะได้รับยศ "พลตรี" ในเวลาต่อมา

ชะตาชีวิตของ พล.ต.มนูญกฤต พลิกผันอีกครั้ง เมื่อ "ถูกปฏิวัติ" โดยคณะ รสช. นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ รวมทั้งแกนนำหลักอีกคนอย่าง พล.อ.สุจินดา คราประยูร รุ่นพี่ จปร.5 นั่นเอง!!

คราวนี้เขาต้องหนีไปต่างประเทศอีกครั้ง ก่อนชะตาชีวิตจะกลับมารุ่งอีก เมื่อซี้ จปร.7 อีกคนอย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ดึงกลับมาเป็นที่ปรึกษาในสมัยรัฐบาลชวน 1

การกลับมาคราวนี้เขาเปลี่ยนชื่อเป็น พล.ต.มนูญกฤต ซึ่งบางคนตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า "กฤต" ที่เติมเข้าไป พ้องกับชื่อ พล.อ.กฤษณ์ (สีวะรา) "นาย" ที่เขาให้ความเคารพอย่างมาก!?

ด้วยความเป็นคนที่มีนิสัยสุขุม เยือกเย็น จนบางครั้งคนใกล้ชิดยังมองไม่ออกว่าตัวเขาคิดอะไรอยู่ และอาจจะด้วยความเป็น "นายทหารเสนาธิการ" จึงทำให้มีกระแสข่าวลือเป็นระยะว่า นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ในสมัยนั้น) "ไม่ค่อยไว้ใจ" นายทหารคนนี้มากนัก

ไม่ว่ากระแสความไม่ไว้วางใจจะลามมาถึงรัฐบาลชุดนี้ด้วยหรือไม่ แต่ที่รู้ๆ คือ ตอนนี้มีข่าวที่เชื่อมโยงไปถึงประธานรุ่น จปร.7 และคณะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์