ปธ.ศาลฎีกาตั้ง กก.สอบคำตัดสินคดีกล้ายางรั่วแล้ว เล็งเรียกสนธิปากแรก อสส.ไม่ต่อปากคตส.เตรียมฟ้องเอง


ปธ.ศาลฎีกาตั้ง กก.สอบคำพิพากษาคดีกล้ายางรั่ว อุบ 3 ผู้พิพากษาสอบกันคนนอกรบกวน เล็งเรียกสอบ "สนธิ" คนแรกบอก"เนวิน"รอดเป็นคนแรก เจ้าของสำนวนยันไม่มีใครติดต่อ ชี้พิจารณาคดีเปิดเผยต่อเนื่อง อาจมีการคาดคะเน ความเป็นไปได้ในการตัดสิน บอกทำถูกต้องไม่รู้สึกกลัว หรือกดดัน โฆษกสำนักอสส.ไม่ต่อปากคตส.เตรียมตั้ง กรรมการอิสระขึ้นฟ้องเอง

ตั้งกกรรมการสอบคดีกล้ายาง "รั่ว" แล้ว


นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวเมื่อวันที่ 25 กันยายนว่า นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา ได้พิจารณาและลงนามเห็นชอบแต่งตั้งผู้พิพากษาระดับสูงในศาลฎีกาจำนวน 3 คน เป็นคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง มีบุคคลภายนอกล่วงรู้คำพิพากษาคดีทุจริตซื้อต้นกล้ายางพาราก่อนที่องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำพิพากษาจริงหรือไม่เรียบร้อยแล้ว โดยรายชื่อไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะประธานศาลฎีกาต้องการให้คณะกรรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทำงานได้อย่างอิสระ ไม่ต้องถูกคนภายนอกรบกวนการสอบสวน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม โดยหลังจากนี้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจะดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอนต่อไปอย่างไม่ชักช้า


เจ้าของสำนวนยันไม่มีใครติดต่อ


นายบุญรอด ตันประเสริฐ ประธานแผนกคดีเลือกตั้ง เจ้าของสำนวนคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายาง กล่าวว่า รับทราบเรื่องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจากสื่อมวลชน แต่ไม่รู้สึกเครียดอะไร ไม่มีปัญหาอะไรเลย ส่วนผู้พิพากษาองค์คณะคนอื่นๆ คงไม่มีอะไร เพราะขนาดเจ้าของสำนวนยังไม่มีปัญหาอะไร เรื่องการสอบสวนข้อเท็จจริงที่มีการตั้งประเด็นว่ามีบุคคลภายนอกล่วงรู้คำพิพากษาก่อนอ่านหรือไม่นั้นหากคณะกรรมการจะเรียกผู้พิพากษาองค์คณะสอบถามก็พร้อม ไม่มีปัญหาแน่นอน


"ผู้พิพากษาเราทำในสิ่งถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทำสิ่งถูกต้องแล้วจะไม่ถูกใจใครทุกคน ก็ถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งวิจารณ์ แต่เราผู้พิพากษาก็ไม่หวั่นไหว เพราะเรายึดหลักความถูกต้อง ไม่ใช่ถูกใจ ซึ่งการพิจารณาคดีเราก็ดูจำเลยทุกคนทั้ง 44 คน ไม่ใช่ดูเฉพาะใครคนใดคนหนึ่ง ยืนยันว่าระหว่างพิจารณาคดีไม่มีใครติดต่อหรือโทรศัพท์มาหา หรือกดดันใดๆ ทั้งสิ้น" นายบุญรอดกล่าว


ชี้พิจารณาเปิดเผยอาจเอาทางถูก


ประธานแผนกคดีเลือกตั้ง เจ้าของสำนวนคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายาง กล่าวว่า คำพิพากษาฉบับเต็มและคำวินิจฉัยส่วนตัวของผู้พิพากษาองค์คณะในคดีนี้นั้น สามารถตรวจดูได้ในเว็บไซต์ศาลฎีกา ภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนตัวยังเห็นว่าก่อนการตัดสินที่มีผู้คาดคะเนผลคำพิพากษาแล้ว อาจเป็นผลมาจากการพิจารณาคดีไม่ใช่การพิจารณาคดีแบบลับ แต่เป็นการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย เมื่อมีผู้รับฟังการพิจารณาอย่างต่อเนื่อง ก็อาจประมวลความเป็นไปได้ในการตัดสิน ซึ่งการตัดสินก็มีทางเลือกว่าถูกหรือผิดเท่านั้น ดังนั้น การคาดคะเนจึงมีโอกาสที่จะทายถูกหรือทายผิด 50 ต่อ 50


นายบุญรอดกล่าวว่า แม้จะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ก็ไม่ทำให้รู้สึกกลัว หรือระแวงในการทำหน้าที่ตัดสินคดี เพราะผู้พิพากษายึดหลักความถูกต้อง ก็สามารถตอบคำถามทุกอย่างได้ ถ้าเกิดผู้พิพากษาจะกลัวกระแสที่วิจารณ์แล้วคงไม่มีหลัก คงอยู่ในสภาพเป๋ไปเป๋มาซึ่งไม่ใช่ "เราเป็นผู้พิพากษาทำหน้าที่ตัดสินอยู่ได้มานานเพราะยึดหลักความถูกต้อง" นายบุญรอดกล่าว


เล็งเรียกสอบ "สนธิ" เป็นคนแรก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสัปดาห์หน้าคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจะมีการออกหมายเรียก นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาระบุนายเนวิน ชิดชอบ จำเลยคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา จะพ้นผิด 8:1 มาไต่สวนเป็นคนแรกด้วย


นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่ได้คาดหวังกรณีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพียงแต่ต้องการทำหน้าที่ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของชมรมกฎหมายภิวัฒน์ สมมุติว่ามีการรั่วไหลของความลับจริงตามข้อมูลนายสนธิย่อมมีผลต่อรูปคดี เหมือนที่คำโบราณว่าไม่มีมูล หมาแมวไม่ขี้ ส่วนกรณีที่ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินขององค์คณะผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาลที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายางพารานั้น ตามกฎหมายกำหนดให้ผู้พิพากษาต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ทุก 3 ปี แต่หากองค์คณะผู้พิพากษาคดีทุจริตกล้ายางพารามีความบริสุทธิ์ใจก็สามารถยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ ป.ป.ช.เรียกสอบ นอกจากนี้หาก ป.ป.ช.มีหลักฐานใหม่เพิ่มเติมก็สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้พิจารณาคดีทุจริตกล้ายางพาราใหม่ได้ ภายใน 1 เดือนหลังมีคำพิพากษา ซึ่งการวินิจฉัยคดีครั้งใหม่จะต้องเป็นการประชุมใหญ่ขององ์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด 


โฆษกสำนักอสส.ไม่ต่อปากคตส.


นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ปฏิเสธตอบคำถามกรณีที่อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เสนอตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนในกรณีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี อย่างเช่นคดีทุจริตการจัดซื้อต้นกล้ายางพารา โดยกล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 25 กันยายนสั้นๆ ว่า "ก็แล้วแต่จะคิดว่าเหมาะสมหรือไม่"


สำหรับเรื่องที่นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) และ นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รอง อสส. เบิกความเป็นพยานจำเลยในคดีทุจริตการจัดซื้อต้นกล้ายางพารา ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องจำเลย  44 คนนั้น นายธนพิชญ์กล่าวว่า "ยังไม่ทราบว่าอัยการที่เข้าเบิกความจะเป็น อสส.และรอง อสส.จริงหรือไม่ ถ้าคิดว่าใช่ อสส.ก็ควรสอบถามไปที่ อสส. ผมไม่อยากเป็นข่าวอีกแล้ว ส่วนที่ได้แถลงข่าวเกี่ยวกรณีที่ศาลฎีกาฯยกฟ้องคดีทุจริตกล้ายางไปนั้น จุดมุ่งหมายเพียงต้องการให้ทราบว่าคดีนี้อัยการไม่ได้เป็นผู้ยื่นฟ้องคดี"


ผู้สื่อข่าวพยายามโทรศัพท์ติดต่อ นายชัยเกษม และนายวัยวุฒิ เพื่อสัมภาษณ์กรณีเป็นพยานจำเลยในคดีทุจริตกล้ายาง แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวอัยการกล่าวว่า การเข้าเป็นพยานจำเลยของ อสส.และรอง อสส.นั้น เนื่องจากฝ่ายจำเลยอ้างบุคคลทั้งสองเป็นพยานเนื่องจากก่อนหน้าอัยการเห็นว่าสำนวนคดีกล้ายางยังไม่สมบูรณ์ จึงขอศาลออกหมายเรียกมาเป็นพยาน เช่นเดียวกับกรณีของนายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส. ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อย


"สุเทพ"ชี้ 2 ฝ่ายงัดข้อ"อันตราย"


สำหรับเรื่องที่ประธานศาลฎกาตั้งผู้พิพากษาระดับสูง 3 คน ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีบุคคลภายนอกล่วงรู้ผลการพิพากษาคดีทุจริตกล้ายาง ก่อนองค์คณะจะอ่านหรือไม่นั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้แล้วแต่คนจะวิจารณ์กันไป แต่ยังเชื่อมั่นในระบบของศาลยุติธรรม ถึงแม้ว่าจะเคยขึ้นศาลและถูกตัดสินให้ชนะและแพ้คดีมาแล้ว แต่เมื่อผลการพิพากษาออกมาอย่างไรก็ต้องเคารพในกระบวนการยุติธรรม ส่วนที่บอกว่ามีข่าวเกี่ยวกับคำตัดสินรั่วก่อนวันพิพากษานั้น ไม่แน่ใจว่าจะมีจริงหรือไม่ "หลายฝ่ายที่วิจารณ์กันก็ผิดบ่อย ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไปดูหมิ่นแต่ไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง การที่ประธานศาลฎีกาสั่งให้สอบสวนเรื่องนี้ผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่จะทำให้ความจริงชัดเจนมากขึ้น" นายสุเทพกล่าว


ผู้สื่อข่าวถามเหตุนี้อาจจะทำให้กระทบการตัดสินคดีอื่นๆ นายสุเทพกล่าวว่า คนส่วนใหญ่ยังเชื่อในระบบของศาลอยู่ แต่สิ่งที่อันตรายคือการที่แต่ละฝ่ายช่วยกันทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายอื่น จนในที่สุดเสียหายกันทั้งระบบ เมื่อถามถึงกรณีโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดวิจารณ์ คตส.ว่าทำสำนวนคดีไม่สมบูรณ์จึงทำให้ผู้ถูกกล่าวหาหลุดคดีทั้งหมด นายสุเทพกล่าวว่า "ผมคิดว่าอย่างนี้เป็นเรื่องน่ากังวลใจว่าจะเป็นการทำลายกันเอง ซึ่งจะทำให้เสียหาย" 


ป.ป.ช.ไม่ปรับ-คุยมีมาตรฐานอยู่แล้ว


นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการทำสำนวนคดีที่รับมาจาก คตส.ควรให้รัดกุมมากขึ้นหรือไม่ หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกฟ้อง 44 จำเลยคดีกล้ายางว่า คิดว่าไม่จำเป็น เพราะเป็นมาตรฐานของ ป.ป.ช.อยู่แล้ว ไม่ได้เข้มข้นมากขึ้นแต่อย่างใด ป.ป.ช.ทำตามระบบ เรื่องนี้ คตส.ทำมา ป.ป.ช.ต้องยอมรับ จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ นอกจาก คตส.ทำไว้ครึ่งๆ กลางๆ อย่างคดีรถดับเพลิงที่ ป.ป.ช.ต้องมาทำใหม่ หรือคดีจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ที่ต้องมาทำให้สมบูรณ์ใหม่ แต่ต้องยอมรับว่าอันไหนจบแล้วก็ต้องจบ ถ้า คตส.ทำมาจบแล้วก็ต้องจบ ต้องเห็นใจ คตส.ว่ามีเวลาจำกัด ต้องเร่งรีบ บางครั้งต้องเห็นใจ อย่าไปซ้ำเติม คตส.ทำดีที่สุดแล้ว


นายวิชายังกล่าวถึงการตั้งกรรมการสอบคำพิพากษาคดีทุจริตกล้ายางรั่วหรือไม่ว่า "เราไปคาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ แต่ยืนยันว่าศาลไม่มีเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะศาลฎีกา เพราะผมเคยอยู่ศาลฎีกามาหลายปี ก็ต้องเสาะหากันต่อไปว่าเหตุใดจึงมีตัวเลข 8:1 ออกมาล่วงหน้า ตอนนี้ต้องให้คณะกรรมการตรวจสอบดูแลไป ตอนนี้ไม่ทราบรั่วจริงหรือไม่ หรือเป็นการคาดเดา อย่างไรก็ตาม ในอดีตเคยมีคดีที่รั่ว ซึ่งตรวจสอบพบว่าเป็นระดับเจ้าหน้าที่ ก็มีการไล่เจ้าหน้าที่ออกไป"


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตข้อความผ่านทางเว็บไซต์ Twitter.com กรณี คตส.แถลงข่าวตอบโต้โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดว่า "ต้องถาม คตส.ว่าคนที่ขอตั๋วฟรีการบินไทยพาลูกไปเที่ยวพร้อมคณะดูงานต่างประเทศแล้วกลับมาเอาตั๋วฟรีที่ได้รับไปมาเบิกเงินจากรัฐอยู่ไหน"


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์