กรรมของ ทักษิณ ชินวัตร แม้อยากลาออกก็ทำไม่ได้

กรรมของ ทักษิณ ชินวัตร แม้อยากลาออกก็ทำไม่ได้

โดย จิตตนาถ ลิ้มทองกุล 6 มีนาคม 2549 21:08 น.

ภาพการปราศรัยของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ท่ามกลางฝูงชนเรือนแสนจากทั่วประเทศเมื่อวันศุกร์ที่ 3 มี.ค. 2549 ที่ผ่านมา นับเป็นความพยายามของกุนซือ พรรคไทยรักไทยที่จะแก้เกมการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันโดยใช้ ยุทธศาสตร์การสร้างภาพหลักๆสองประการที่ต้องการสื่อสารให้กับสังคมไทย

ประการแรกต้องการแสดงให้เห็นว่า มีประชาชนจากทุกสารทิศยังคงต้องการนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเทียบกันแล้วมีจำนวนมากกว่าประชาชนฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มาชุมนุมขับไล่เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2549 ที่ผ่านมา

ประการที่สองการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนเพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งเพื่อตั้งรัฐบาลชั่วคราวในการปฏิรูปทางการเมืองถือเป็นการยอมถอยถึงสองก้าวที่ประชาชนควรจะเห็นใจ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร โดยท้าว่าหากมีการเลือกตั้งแล้วได้คะแนนไม่ถึงครึ่งตนจะไม่เป็นนายกรัฐมนตรี

หากมองกันอย่างผิวเผินเพียงชั้นเดียวโดยไม่มีการกลั่นกรองแล้ว หมากตานี้ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าน่าจะได้คะแนนนิยมจากประชาชนชาวรากหญ้าที่มีภูมิคุ้มกันการกรองข่าวสารข้อมูลเพียงชั้นเดียวไปไม่น้อย เพราะการเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็นพร้อมด้วยก้อนเงินที่จับได้อย่างเป็นรูปธรรมย่อมง่ายกว่าการทำความเข้าใจกับการคอร์รัปชันเชิงนโยบายซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่ามากมายนัก

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดสามารถพิสูจน์ได้จากข่าวบนหน้าปกหนังสือพิมพ์ THE NATION ฉบับวันเสาร์ที่ 4 มี.ค. 2549 โดยลงบทสัมภาษณ์ชาวรากหญ้าที่เข้ามาร่วมฟัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยที่มาจากจังหวัดต่างๆทั่วประเทศจำนวน 5-6คน เกี่ยวกับเรื่อง ความเข้าใจในกรณีขายหุ้นชินคอร์ปและสาเหตุที่มาฟังการ ปราศรัยในวันนั้น

ผลปรากฏว่าชาวบ้านทุกคนที่ถูกสัมภาษณ์ไม่มีใครเข้าใจเรื่องดีลอัปยศการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กโดยหลีกเลี่ยงภาษีเลยสักคนเดียว แต่ทุกคนมาเพียงเพราะมองว่าชอบคาแรกเตอร์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จึงเดินทางมาให้กำลังใจ

แม้ว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางมายังท้องสนามหลวงอย่างล้นหลาม แต่กลับมีการรายงานข่าวจากสื่อหลายแขนงอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย แฉถึงการใช้เม็ดเงินกว่า300ล้านบาทซึ่งเป็นงบประมาณมหาดไทยของรัฐในการให้กำนันผู้ใหญ่บ้านระดมคนมาฟังปราศรัยโดยจ้างคนตั้งแต่หัวละ200-1000บาท แล้วแต่ว่าสายไหนจะหักหัวคิวมากสายไหนจะหักหัวคิวน้อย

ที่น่าอดสูคือ แม้ว่าประชาชนจะเนืองแน่นแต่หัววันแต่ยังไม่ทันที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จะปราศรัยเสร็จประชาชนกลับเริ่มทยอยกันกลับไปขึ้นรถบัส เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมถึงรีบออกจากพื้นที่ ก็ได้รับคำตอบว่าบ้านอยู่ไกล และได้ค่าเหนื่อยเรียบร้อยแล้วจะรีบกลับบ้านไปพักผ่อนเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน

แม้สปิริตของม็อบรับจ้างเชลียร์จะคนละเรื่องกับกลุ่มประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงก็ตาม แต่ด้วยอำนาจเงินที่ระดมคนมาได้ขนาดนี้ ย่อมทำให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ย่ามใจว่าด้วยจำนวนเงินและอำนาจที่มีจะสามารถเสกคนในระดับที่เหนือกว่าฝ่ายพันธมิตรเมื่อใดก็ได้

เหล่านี้จึงเท่ากับเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงทักษิณาธิปไตยโมเดลได้เป็นอย่างดีว่า เป็นประชาธิปไตยที่ซื้อได้ด้วยเงิน ซึ่งเม็ดเงินจำนวน4000-5000ล้านก็สามารถกว้านจ้างให้ประชาชนรากหญ้าไปคูหาเลือกตั้งได้ราว10-20ล้านคน

ดังนั้นการยุบสภาเพื่อหนีความผิด ซื้อเวลาโดยอ้างการปฏิรูปทางการเมือง และใช้เม็ดเงินในการซื้อให้ประชาชนไทยเข้าไปเล่นกับกติกูการเมืองที่คิดเองเล่นเองอยู่คนเดียวจึงเป็นการวกกลับไปสู่ทางตันของรัฐธรรมนูณฉบับนี้ที่ผู้คือเรียกร้องกันให้มีการปฏิรูป

สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ษ. 2549โดยพรรคไทยรักไทยชงเองเล่นเองในกฏิกาที่ไม่ชอบธรรมที่ไม่มีพรรคแกนนำฝ่ายค้านใดยอมรับคือ จำนวน ส.ส. ทุกเขตย่อมเป็นของพรรคไทยรักไทย ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรเสียงของพรรคไทยรักไทยก็จะต้องเกินครึ่งอยู่แล้วและนี่คือการกล่าวอ้างของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

ขณะที่สภาก็จะกลายเป็นสภาที่แปลกประหลาดมากกว่าสภาที่โดนหักคอยุบไปกล่าวคือเป็นสภาที่ไม่มีฝ่ายค้าน ประเทศไทยจึงจะมีระบบการปกครองรูปแบบใหม่ที่แม้จะเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ไม่ต่างอะไรกับประเทศสิงคโปร์ในปัจจุบันกล่าวคือเป็นเผด็จการในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งท้ายสุดแล้วจะส่งให้ตัวเองมีอำนาจไม่ต่างอะไรจากประธานาธิบดี

จุดนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของ ประชาธิปไตยแบบทักษิณ ที่จะนำไปสู่ทางตันของประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กลไกทางการเมืองจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งทันที

นี่คือภาพการเมืองของไทยที่จะเกิดขึ้นหากประชาชนรากหญ้าหลงกล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่มักจะอ้างประชาธิปไตยอ้างการคืนอำนาจให้กับประชาชนแล้วอ้างว่าตนเองได้ถอยให้สองก้าวแล้วแต่แท้ที่จริงตนเองกลับเป็นฝ่ายรุกคืบอีกสองก้าวเพื่อรักษาอำนาจให้ยั่งยืนสถาพร

ความวุ่นวายทางการเมือง ความชะงักงันของเศรษฐกิจ ความแตกแยกในแนวคิดของประชาชนไทยทั้งประเทศในวันนี้ที่แบ่งเป็นสองขั้วอันจะนำไปสู่การเผชิญหน้ากันในที่สุด ไม่ว่าจะมองในมุมของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือในมุมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับตัวแปรเดียวคือซึ่งก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง

ที่จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เลือกได้ที่จะใช้วิธีรุกในการถอย กล่าวคือยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วใช้วิธีตั้งนายกนอมินีขึ้นมาแทนพร้อมกับยอมขยายเวลาเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปเพื่อลดกระแสก็สามารถที่จะกระทำได้ ซ้ำยังจะสามารถรักษาฐานอำนาจไว้ได้อย่างครบถ้วนอันจะเป็นการยอมถอยสองก้าวที่แท้จริงตามที่ตัวเองได้โม้ไว้

พฤติกรรมการเลือกที่จะเดินหน้าเอาม็อบชนม็อบและเดินสายหาเสียงของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ทุกวันนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าประชาชนอย่างแรง ซ้ำรายยังเป็นการตอบกลับผู้หวังดีที่เป็นคนกลางที่พยายามเสนอทางลงอย่างประนีประนอมจนหน้าหงายกันไปหมด

ความเคลื่อนไหวอันสะท้อนให้เห็นถึงความเหลืออดต่อพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของภาคประชาชนชัดเจนเมื่อมีประชาชนเรือนแสนเข้ามาร่วมแสดงพลังเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า เมื่อคืนวันที่ 5 มี.ค.2549 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพลังบริสุทธิ์ที่มีจำนวนไม่ได้น้อยกว่าม็อบจัดตั้งเมื่อวันที่ 3 มี.ค.2549

ภาพการชุมนุมไม่เอา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ของฝูงชนที่คลาคล่ำตั้งแต่หน้าทำเนียบรัฐบาลลากยาวมาจนถึงกระทรวงเกษตรล้นไปยังยังบริเวณผ่านฟ้าก่อนที่จะกลับมาชุมนุมที่สนามหลวงโดยไม่เสียเลือดเนื้อลบข้อกล่าวหาเรื่องการนองเลือดที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามยัดเยียดให้อย่างสิ้นเชิง เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพลังเงียบที่รอดูทีท่าให้กล้าแสดงออกมากขึ้น ทำเอาแกนนำพรรคไทยรักไทยต้องถกกันอย่างหนักในการทบทวนยุทธศาสตร์เพราะยิ่งจัดม็อบชนก็เหมือนยิ่งยั่วยุให้ประชาชนโกรธมากขึ้น

นอกจากนี้การที่กลุ่มนักวิชาการ บุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม และ ราชนิกุลร่วมกว่า 100ชื่อเข้าถวายฎีกาขอนายกพระราชทาน ย้ำอีกด้วยโพลการเมืองของเอแบคโพลที่เสียงประชาชนส่วนใหญ่เรียกร้องให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ลาออก ได้ส่งสัญญาณออกมาอย่างชัดเจนที่สุดแล้วว่าประตูทางออกของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้ถูกปิดตายแล้วอย่างสิ้นเชิง

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ย่อมต้องรู้ดีกว่าใครถึงผลกรรมที่กำลังจะตกถึงตัวเองหากถอดใจในชั่วโมงนี้ โดยล่าสุดมีข่าววงในออกมาว่าแท้ที่จริงแล้วตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ยังไม่ได้รับเงินอีกงวดจากเทมาเส็กราว 20,000ล้านบาท ซึ่งหากตนเองเสียอำนาจไปจะส่งผลให้มีความเป็นไปได้สูงว่าเม็ดเงินก้อนนี้จะปิ๋ว ซ้ำร้ายกลับจะโดนภาคประชาชน องกรอิสระ แม้แต่หน่วยงานรัฐกลับลำตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลของตนซึ่งมีการตั้งธงกันถึงขั้นยึดทรัพย์ รวมไปถึงการแปลงชินคอร์ปให้เป็นรัฐวิสาหกิจ

เมื่อทั้งเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงเหลือทางเลือกเดียวคือเล่นเกมการเมืองเอาเถิดเจ้าล่อกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มประชาชนผู้รักชาติอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยจะยังคงเดินสายหลบเลี่ยงเพื่อระดมม็อบตามต่างจังหวัดต่อไป เพื่อยืดเวลาให้ผ่านพ้นวันที่2เม.ย.2549 ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยรับมือกับทางตันของระบบประชาธิปไตยที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

แม้จะรู้ว่ายากเต็มทนในการที่จะเอาชนะพลังของประชาชน แต่การเดิมพันด้วยมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดมูลค่ากว่าร่วมแสนล้านรวมทั้งความล่มสลายของตัวเองและเครือญาติบังคับให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องหลังชนฝาสู้อย่างบ้าเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดาบสุดท้ายที่จะลงใส่ประชาชนหากไม่ไหวยิ่งจริงๆย่อมหนีไม่พ้นการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะใช้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่กำลังเล็งหาโอกาสอันเหมาะสมอยู่

ถึงเวลานี้แล้วแม้ว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อยากจะลาออกแล้วเดินตัวปลิวโดยจะขอเว้นวรรคทางการเมืองเพื่อไปเสพย์สุขจากเม็ดเงินเลี่ยงภาษีที่ได้จากการขายชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กแบบที่คิดไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายก็ทำไม่ได้อีกต่อไป เพราะมติของมหาชนได้เดินมาเลยจากจุดนั้นมาไกลแล้ว

ปฏิกิริยาโดนคนตะโกนโห่ไล่ที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และน้องอุ๊งอิ๊ง โดนที่ห้างเอ็มโพเรียมเมื่อไม่กี่วันก่อนยังเป็นเพียงแค่โหมโรงให้เห็นถึงโศกนาถกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ในเร็ววันนี้ได้เป็นอย่างดีหากยังดื้อดึงดันทุรังต่อไป

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์