เปิดมุมทางออกประเทศไทย

....ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ก้าวเข้าสู่ทางตัน ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศเจอวิกฤตอย่างหนัก

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงจัดเสวนาเนื่องในวันธรรมศาสตร์วิชาการ "52 ในหัวข้อเรื่อง "ทางออกประเทศไทย : สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง" เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต

โดยมีนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมเสวนา ซึ่งวิเคราะห์ปัญหาและนำเสนอทางออกของประเทศไทย ไว้น่าสนใจ



-ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะวิกฤตการเมือง ประชาชนในประเทศมีความแตกแยก แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า ซึ่งความแตกแยกที่เกิดขึ้นครั้งนี้ หากจะนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2310 ที่สยามประเทศเสียกรุง ครั้งนี้ถือเป็นความแตกแยกครั้งยิ่งใหญ่ครั้งที่ 2 ของประเทศไทย

นอกจากนี้ บ้านเมืองในปัจจุบันยังเจอวิกฤตการเมืองที่เข้าสู่ทางตัน ซึ่งผมเชื่อว่า การทำรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 จะไม่ใช่การก่อการรัฐประหารครั้งสุดท้ายในประเทศ อีกทั้งรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ร่างขึ้นหลังการทำรัฐประหารจะถือเป็นระเบิดลูกแรกและลูกสำคัญ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผมขอเรียกว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับอำมาตย์เสนาประชาธิปไตย ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 เกิดขึ้นมาอีก

ปัจจัยสำคัญของการเมืองที่อาจนำมาสู่วิกฤตอีกครั้ง คือการที่พรรคการเมืองเก่าแก่ไม่สามารถเอาชนะใจประชาชนส่วนใหญ่จากนโยบายประชานิยมได้ เรื่องนี้ถือเป็นระเบิดลูกที่สองที่จะตามมา

ขณะนี้เรากำลังถูกสึนามิทางการเมืองถาโถมเข้าใส่จนทำให้ประเทศกำลังพังพินาศ ผลที่ตามมาอาจทำให้เกิดปัญหาจลาจลและสงครามกลางเมือง ซึ่งผลสะท้อนที่ตามมาอีกด้านหนึ่ง คือประเทศจะเข้าสู่ทางตันในด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วย

ผมมีลางสังหรณ์ทางโบราณคดี โดยเฉพาะในเรื่องประสาทเขาพระวิหารที่ต้องตายไปตั้งแต่ครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา แต่เรื่องนี้ถูกปลุกขึ้นมาใช้เป็นประเด็นทางการเมืองอยู่เสมอ ล่าสุดนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พยายามบิดเบือนเรื่องการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกว่า คณะกรรมการยูเนสโกเลื่อนการขึ้นทะเบียนออกไป ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

ที่ผ่านมาบ้านเมืองเกิดกระแสการประท้วงเพื่อต้องการล้มล้างรัฐบาลที่ถูกมองว่ามาจากระบอบทักษิณ เริ่มต้นจากในปี 2548 ก่อนจะขยายตัวเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือกลุ่มเสื้อเหลือง ขณะเดียวกันก็มีการจัดตั้งขบวนการขึ้นมาตอบโต้คือ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช. โดยใช้สัญลักษณ์เสื้อแดง ส่งผลให้ประเทศได้รับความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบตามมาอย่างมาก ประชาชนแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า ก่อนจะเป็นที่มาของการทำรัฐประหารและรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550

ปรากฏการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ทำให้มองได้ว่า เรากำลังอยู่ในกลียุค เปรียบได้กับเป็นปางดุร้ายของพระอุมา ผมอยากให้คิดดูว่า เวลาผู้หญิงโกรธจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อบ้านเมืองต้องถึงจุดที่เป็นจลาจล กลียุคก็ไม่ได้หมายถึงมันจะมืดไปทั้งหมด หากแต่เป็นจุดจบเพื่อให้เกิดใหม่ที่มีแสงสว่างอยู่ข้างหน้า

ถ้าเราต้องการหลีกเลี่ยงวัฏจักรนี้ ผมมีข้อเสนอทางออกอยู่ 4 ข้อ คือ

1.สร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มรากหญ้าในภูมิภาค และต้องทำให้ชนชั้นสูงและคนชั้นกลาง อาทิ ประชาชนในกทม.หรือในหัวเมืองใหญ่ที่กุมอำนาจรัฐสามารถจะเกี้ยเซี้ยประนีประนอมผลประโยชน์กัน

2.ต้องปฏิรูปหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมด มีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพื่อให้เป็นรัฐธรรมนูญของสยาม ไม่ใช่ของไทยแลนด์ คือให้ประโยชน์กับคนทุกกลุ่มไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคม อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

3.ต้องทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันสูงสุด เป็นสถาบันกลางสำหรับคนทุกกลุ่มทุกคณะ สำหรับเคารพบูชาโดยประชามหาชนโดยรวม และไม่ถูกนำไปใช้อ้างและอิงเพื่อประโยชน์ของกลุ่มคนหรือหมู่คณะ ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญที่สุด

4.ต้องทำให้สถาบันทหาร พลเรือน และตุลาการ เป็นสถาบันการบริหารจัดการที่ปราศจากการเข้าแทรกแซงทางการเมือง มีแนวคิดประชาธิปไตยและดำรงไว้ซึ่งหลักกฎหมาย

หากทุกฝ่ายนำ 4 แนวทางมาใช้ได้ เชื่อว่าประเทศไทยจะสามารถผ่านพ้นกลียุคนี้ไปได้

-พรายพล คุ้มทรัพย์

อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจที่มีผลต่อเนื่องมาจากต่างประเทศ ส่งผลให้สินค้าราคาตกต่ำและการท่องเที่ยวเริ่มซบเซา ซึ่งส่วนนี้มีผลต่อเนื่องมาจากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มเข้ายึดสนามบินด้วย จนทำให้เศรษฐกิจในประเทศเริ่มหดตัว

ปีนี้คาดว่า เศรษฐกิจในประเทศจะหดตัวอีก 3-4% ทั้งที่สาเหตุไม่ได้เกิดจากไทย แต่มาจากภายนอกถือว่าแรงพอสมควร

แต่สิ่งที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจมากที่สุด คือความวุ่นวายทางการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงของกลุ่มคนเสื้อสีต่างๆ การยึดทำเนียบรัฐบาลและเหตุการณ์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา

สิ่งเหล่านี้เป็นผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ

ทางออกมีอยู่ 2 ทาง ทางออกระยะสั้นคือรอให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว แล้วประเทศไทยจะฟื้นตัวตามไปด้วย ซึ่งคาดว่าในช่วงปลายปีทุกอย่างต้องเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ เราต้องช่วยตัวเองด้วย โดยอาศัยการกระตุ้นจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและประชาชน โดยเฉพาะภาครัฐต้องใช้จ่ายให้มากขึ้น

ผมเชื่อว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้นโยบายในทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ถูกต้องจากโครงการต่างๆ ถือว่าเดินถูกที่ถูกทาง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มงบประมาณในช่วงกลางปี การแจกเช็คช่วยชาติและโครงการไทยเข้มแข็ง

แต่โครงการดังกล่าวต้องสร้างประโยชน์กับประชาชนและประเทศอย่างแท้จริง ไม่ใช่นำโครงการเก่าที่ไม่ได้รับการอนุมัติมานำเสนอใหม่

ขณะที่ทางออกในระยะยาว เราต้องทำแบบเดิมๆ ตามแผนเดิม โดยส่งเสริมการขยายตัวของการส่งออก สร้างสินค้าแบรนด์เนม สร้างตลาดในภูมิภาคของเราให้มากขึ้น รวมทั้งปฏิรูปภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร

แต่การจะนำมาสู่จุดนี้ได้ เราต้องมีระบบการเมืองที่เข้มแข็ง โปร่งใสและมีความต่อเนื่อง รวมทั้งกลุ่มพ่อค้าและนักการเมืองต้องมีความเสียสละ ข้าราชการต้องทำหน้าที่แบบที่ไม่ใช่เช้าชามเย็นชาม

รวมทั้งผู้ประกอบการต้องไม่หากำไรเกินควรและจ้องแต่จะเอาเปรียบผู้อื่น

-เกษียร เตชะพีระ

อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ปัญหาทางการเมืองเกิดจากกระบวนการต่อสู้แย่งชิงอำนาจปกครอง โครงสร้างอำนาจของไทยมีชนชั้นนำจากหลายกลุ่มมารวมตัวกันอยู่ โดยเปลี่ยนผ่านจากทหาร ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาถึงนักการเมือง ซึ่งรวมตัวกันอยู่ภายใต้การเกี้ยเซี้ยผลประโยชน์ที่ลงตัว แต่ถ้าชนชั้นนำกลุ่มใดไม่ยอมรับสถาบันหลักและสถาบันชาติก็อยู่ไม่ได้

เดิมเราเคยเจอเพียงขบวนการนักศึกษาหรือมวลชนจัดตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐราชการ

แต่ปัจจุบันเรากำลังเจอกับขบวนการทางการเมือง 2 ขบวน คือ เหลืองทั้งสนามบินกับแดงทั้งแผ่นดิน แม้แต่ละฝ่ายจะไม่มีมวลชนเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด แต่ก็มีมวลชนในมือมากกลุ่มละ 10 ล้านคนที่สุดโต่งไปคนละด้าน

สีเหลืองเป็นประชาธิปไตยแต่ไม่เสรีแบบ 70-30 หรือสีแดงที่เป็นเสรีแต่ไม่เป็นประชาธิปไตยแบบทักษิณ จึงจำเป็นต้องมีการเมืองใหม่ขึ้นมารองรับ มีพรรคการเมืองของประชาชน ไม่ใช่พรรคการเมืองของส.ส.

นอกจากนี้ยังมีตัวแปรสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถือเป็นพรรคที่อยู่คู่กับประเทศไทยมายาวนานคือ พรรคข้าราชการ

ทั้งนี้ หากประเทศจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ พรรคข้าราชการต้องปรับตัวไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง

ไม่เช่นนั้นสยามเมืองยิ้มและคนไทยที่เชื่อฟัง จะไม่มีทางกลับคืนมาอีกแล้ว




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:
หนังสือพิมพ์ข่าวสด


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์