ตั้งโต๊ะวินิจฉัยจิต´ผู้นำ´ฟันธง´เหลี่ยม บ้า หนา โลภ´

กรุงเทพธุรกิจ

23 สิงหาคม 2549 19:26 น.
2 หมอ ตั้งโต๊ะวินิจฉัยจิต ผู้นำ ฟันธง เหลี่ยม บ้า หนา โลภ เป็นโรคกำลังใจน้อย ต้องหยอดเหรียญเหมือนตู้เพลง สู้ๆ หมอนิรันดร์ ถล่มหมอมิ้ง ทาสทรราชย์ หมดสิทธิเรียกเป็นคนตุลา
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(23 ส.ค.)เมื่อเวลา 16.00 น. เครือข่ายจุฬาเชิดชูคุณธรรมนำประชาธิปไตย จัดอภิปรายหัวข้อ ตกลงเหลี่ยมหนาหรือว่าบ้ากันแน่

โดยฝ่ายที่เชื่อว่า บ้า คือ น.พ.เกษม ตันติผลาชีวะ จากโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ขณะที่ฝ่ายที่เห็นว่าไม่บ้า แต่ เหลี่ยมหนา คือ น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ รักษาการ ส.ว.อุบลราชธานี เป็นแพทย์อายุรกรรม

น.พ.เกษม ออกตัวว่า โดยมารยาทแล้วแพทย์จะไม่วิเคราะห์อาการของผู้ป่วยผ่านสื่อ แต่คิดว่าสิ่งที่เราพูดนั้นไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว แต่เป็นปัญหาของชาติ ตัวบุคคลนั้นตายไปไม่เป็นไร แต่ชาติต้องอยู่

ที่ผ่านมาสื่อมวลชนนำเสนอตัวตนของผู้นำ เช่น สับสน เสียสติ วิปลาส วิกลจริต โรคสองบุคลิกภาพ สมองตกบ่วง โรคทางวิญญาณ ล่าสุด ค้นหาตัวเองไม่พบ กินเนสบุ๊คอาจจะต้องบันทึกว่าเป็นผู้นำที่ถูกวิเคราะห์โรคทางจิตมากที่สุดในโลกก็ได้ ที่มีการวิเคราะห์มากก็เพราะเป็นห่วงอนาคตของประเทศชาติที่เขากำลังจะพาเราไป

ทั้งนี้เรื่องความบ้ากับความเลวนั้นแยกกันยาก บางครั้งคิดว่าเหมือนกัน คิดว่าบ้าแต่ความจริงคือความเลว แต่อาจจะมีบางคนที่เป็นทั้งสองอย่าง

ความสับสนเป็นอาการของคนที่มีสติไม่สมบูรณ์ อยู่ในภาวะที่ไม่ตื่นเต็มที่แต่ก็ไม่หลับ เหมือนคนดื่มเหล้าจัด แล้วเพ้อ แต่อาการนี้จะเป็นไม่นาน ส่วนอาการเสียสติ โรคจิต วิปลาส ทั้งหมดนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ชาวบ้านเรียกว่า บ้า หลายท่านที่กลัวตัวเองเป็นบ้าแล้วไปหาหมอส่วนมากจะไม่บ้า แต่คนที่ไม่รู้ตัวเองและประกาศว่าผมไม่บ้า อาจจะอยู่ในข่ายที่มีโอกาสเป็นบ้าได้ น.พ.เกษม กล่าว

สำหรับโรคหลายบุคลิกภาพ คือไม่สามารถรักษาสภาพเดิมได้ จำตัวตนไม่ได้ เช่นคนที่ถูกผีเข้า แต่คนที่ตั้งใจทำเรียกว่าตีสองหน้า อาการสมองตกบ่วง เป็นอาการของคนหลงผิดว่าตัวเองมีความสำคัญยิ่งใหญ่ เก่งกาจร่ำรวย เป็นอาการหนึ่งของโรคจิต คล้ายกับพารานอย เป็นความระแวงกลัวคนอื่นคิดปองร้าย

อาการค้นหาตัวเองไม่พบของผู้นำ ถือเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง เท่ากับว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ทุกอย่างถูกคนจูงไปให้ทำ ขี้ช้าง ขึ้นเขา ไปไหว้ คนให้ใส่สายข้อมือสีดำ อาการเช่นนี้ต้องการความมั่นใจ ต้องการให้คนออกมาสนับสนุนมากๆอยากได้ยินเสียงเชียร์แต่เสียงเหล่านั้นไม่ธรรมชาติ เป็นเสียงเหมือนตู้เพลงหยอดเหรียญ พอหมดแรงก็ไปหยอดเหรียญก็ร้อง สู้ๆ ต่างกับเสียงขับไล่ที่เป็นเหมือนเสียงนกร้องเป็นธรรมชาติร้องอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีใครมาบังคับ แพทย์ รพ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา กล่าว

นอกจากนี้ น.พ.เกษม ยังวินิจฉัยต่อไปว่า อาการผิดปกติทางจิตยังแสดงออกให้เห็นด้วยการโกหกเป็นประจำ ไม่มีอะไรน่าเชื่อถือโดยเฉพาะยิ่งมีเรื่องผลประโยชน์ก็นำไปสู่การโกหกมากขึ้น บางทีก็โกหกตัวเอง เมื่อโกหกมากๆก็สับสนไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังโกหกอยู่หรือไม่

บางทีตอนพูดคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ต่อมาเกิดเปลี่ยนใจพูดอีกอย่างเมื่อถูกยุยงภายหลัง เหมือนเมียหลวงสั่งถอย เมียน้อยสั่งลุย แต่ขึ้นอยู่กับที่คนของใครมากกกว่ากัน

น.พ.นิรันดร์ กล่าวว่า ตนคิดว่าผู้นำไทยไม่บ้า เนื่องจากตนเป็นหมออายุรศาสตร์ ดังนั้น หากจะวินิจฉัยว่าคนผิดปกติทางร่างกายหรือจิตใจที่ต้องรักษาก็จะมีผลต่อชีวิต ครอบครัว ผลกระทบต่อประเทศชาติ และสังคมอย่างมหาศาล

ดังนั้นจึงบอกว่าเขาบ้าและเขาจะไม่รับรู้ปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่การลุแก่อำนาจ มีความโลภและมักได้ถือเป็นการผิดกฎหมายและกำลังมีการทำไปเรื่อยๆ เช่น กรณีคดีไอบีซี กรณีคำฟ้องต่อศาลปกครองถึงอำนาจรักษาการนายกฯ หรือกรณีมาตรา 44 คดีสัญญาที่จะให้ หรือคดีกุหลาบแก้วที่เป็นนอมินี เป็นต้น

สิ่งที่ผู้นำกำลังละเมิดกฎหมาย หลงอำนาจลุแก่อำนาจ มักได้ ตะกละตะกราม ไร้ศีลธรรม ทำให้ผมรู้ว่าชาตินี้ ผมไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน แต่ถ้าไปเหมารวมว่าเขาบ้า ก็กลายเป็นว่าเราจะต่อว่าคนบ้าไม่ได้ แต่เราจะต้องรักษาไม่ให้ผู้นำป่วย แต่ขณะนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเกิดกับคนฉลาดแต่ว่าโกง ทำให้สังคมไทยกำลังเรียนรู้ว่าผู้นำขาดธรรมะ ขาดคุณธรรม กลายเป็นว่า เขาฆ่าคนได้แม้ว่าจะเป็นคนเดือนตุลาก็ตาม น.พ.นิรันดร์ กล่าว

รักษาการ สว.อุบลราชธานี กล่าวอีกว่า เหลี่ยมแรกที่เราต้องเปิดโปง คือในกรณีที่น.พ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช รักษาการเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กลับออกมาถามหาหน้าที่ของคนตุลา

ซึ่งตนคิดว่าไม่ต้องถาม แต่กลับเห็นว่า น.พ.พรหมมินทร์ ต้องตอบให้ได้ว่า ทำไมเหลี่ยมต้องอาศัยคนตุลา อย่ามาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ที่บอกว่าผู้นำจริยธรรมกับกฎหมายว่าเป็นเรื่องเดียวกันก็ผิดแล้ว

ตนขอถามว่าก้าวแรกที่ น.พ.พรมมินทร์ มาเป็นนักเรียนแพทย์ สมเด็จพระมหิตราธิเบศอดุลยเดชวิกรมฯ (พระราชบิดาแห่งการแพทย์) สอนนักเรียนแพทย์ว่าส่วนรวมต้องมาที่หนึ่ง

ส่วนตัวที่สอง ท่านต้องการให้เรามองคนเป็นคนรักษาศักด์ศรีความเป็นมนุษย์ หากเห็นประชาชนล้มลงถูกทุบ คุณจะต้องทนไม่ได้ คุณต้องตัวสั่น

ซึ่งนี่คุณยังไม่รู้สึกอะไรถือว่าอันตราย ต่างกันกับพวกกระทิงแดง นวพล ในเหตุการณ์ ตุลาคม 2516 ที่เกิดลัทธิปลุกปั่นเอามวลชนเป็นกำแพงตัวเอง

ดังนั้นเหตุเกิดที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นอันธพาลทางการเมือง และในอนาคตข้างหน้าจะทำให้เกิดกรณีการแขวนคอนักศึกษาที่สนามหลวงเหมือนกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคมอีกครั้งหนึ่ง นี่คือจุดเริ่มต้นที่จะเกิดสำหรับการเมืองไทยต่อไป

รัฐบาลกำลังพยายามทำสังคมแตกแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ 10 ล้าน และ 16 ล้าน ซึ่งทหารต้องออกมาแสดงจุดยืนว่าจะไม่ให้มีการเมืองเข้ามาแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้าย จะเป็นขี้ข้านักธุรกิจหรือพ่อค้าที่มีการทุจริตคอรัปชั่นทุจริตทับซ้อน

หมอพรหมินทร์ เป็นบุคคลที่ตกเป็นทาสเหลี่ยม ต้องตอบตัวเองว่าเมื่อเห็นคนแก่ถูกกระทืบ และกำลังจะกลายเป็นการเข่นฆ่าประชาชนอนาคต และ อาจจะมีการถูกแขวนคอในอนาคตข้างหน้า นี่ยังดีที่มีสื่อที่เสนอข่าวให้เราเห็น เลขาฯนายก ต้องตอบว่าทำไมต้องตั้งข้อกล่าวหาคนที่ถูกทำร้าย แต่ถ้าลับหลังสื่อกับสาธารณะจะขนาดไหน "น.พ.นิรันดร์ กล่าวและว่า

ส่วนภาพที่เห็นระดับ ผกก.คุยกัน ส่งสัญญาณบางอย่าง หลังจากนั้นก็มีการทุบตีประชาชน ถือกระบวนการที่จัดตั้งกันมาอย่างชัดเจน ยังมาบอกว่า 2 ฝ่ายอย่าทะเลาะกัน

นี่คือเหลี่ยม สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้น หากไม่มีสื่อคอยอยู่ตรงนั้น หมอพรหมมินทร์ ยังจะเป็นลูกน้องทรราชย์รับใช้อยู่ คุณไม่มีสิทธิ์ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนเดือนตุลา ที่ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ

น.พ.นิรันดร์ ยังถามหาจิตสำนึกของความเป็นหมอว่าอยู่ตรงไหน ที่เห็นประชาชนถูกทำร้ายยังไม่รู้สึกอะไร นี้คือเหลี่ยม ที่อาศัยจิตวิทยามวลชน ให้สังคมแตกแยก และตัวเองได้รับชัยชนะ เสวยสุขท่ามกลางความแตกแยก อาศัยพี่น้องฆ่ากัน

" คุณจะบอกว่าทำไมจึงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ วัยรุ่นที่ตะโกนทักษิณ สู้ๆลุกไปถีบคนชราอายุ 70 ปี ทั้งตำรวจก็ต้องตอบให้ได้ว่ารับใช้นักการเมืองหรือประชาชน อย่ามากล่าวหาว่าผมถอยหลังเข้าคลอง"น.พ.นิรันดร์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก โดยหน้างานผู้จัดงานได้นำหนังสือเรื่อง เขาปล่อยให้ผู้ป่วยบริหารงานระดับชาติ ซึ่งเป็นหนังสือที่สะท้อนให้เห็นผู้นำการเมืองในประวัติศาสตร์ที่มีอาการป่วยทางจิตและทางกาย ทำให้นำพาประเทศไปสู่ความเสียหาย

เช่น นโปเลียน ฮิตเลอร์ อีดี้อามิน มุสโสลินี เขียนโดย น.พ.บุตร ประดิษฐวณิช

ทั้งนี้ หนังสือหนังสือดังกล่าวมีข้อความที่น่าสนใจตอนหนึ่งว่า เนื่องจากคนวิกลจริตประเภทนี้ไม่มีใครดูออกว่าเขาเป็นคนเสียสติจริงหรือไม่ จึงเป็นโอกาสให้เขาใช้ความก้าวร้าวประกอบด้วยเล่ห์เหลี่ยมนานาชนิดยกตนขึ้นสู่ความมีอำนาจได้ง่าย ผู้ที่รับเคราะห์กรรมจากผู้นำวิกลจริตชนิดนี้คือผู้คนพลเมืองที่ยกเขาเป็นผู้นำนั่นเอง

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์