สุเทพพลิ้วอ้างไม่คุยปมร้อน หิ้วข้าวเหนียวมะม่วงฝากฮุนเซน เขมรเสริมอาวุธหนักปืนใหญ่-อาร์พีจี


"สุเทพ"ยันกำหนดเดิมพลิ้วไม่ยกประเด็นร้อนคุย "ฮุนเซ็น"บอกมีเรื่องอื่นคุยมากกว่าเขาพระวิหาร เตรียมข้าวเหนียวมะม่วงของโปรดไปฝากผู้นำเขมร "ปองพล" ชี้รบ.ค้านยูเนสโกไร้ผล จี้ตั้ง ไอซีซีกันเสียดินแดน จวกรบ.ต้นเหตุความดึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา "เขมร"เสริมกำลัง-อาวุธหนัก ปืนใหญ่-ระเบิดอาร์พีจี

 
"สุเทพ"ยันคุย"ฮุนเซน"สร้างสรรค์
 
นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ยืนยันนำคณะเดินทางไปเจรจากับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพื่อกระชับความเป็นมิตรตามกำหนดเดิมในวันที่ 27 มิถุนายน และจะไม่คุยเรื่องที่จะทำให้เกิดเป็นชนวนความขัดแย้ง โดยให้สัมภาษณ์ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 มิถุนายน ถึงเรื่องนี้ว่า ในการเดินทางเยือน อะไรที่ตึงเครียด ก็ต้องหาทางพูดคุยทำให้เพื่อนบ้านกันหันหน้ามาร่วมมือกันในเชิงสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย เพื่อลดความตึงเครียดแนวชายแดนลงเชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

ส่วนกรณีสมเด็จฮุนเซนออกมาระบุจะไม่มีการพูดคุยเรื่องปราสาทพระวิหารกับไทยนั้น นายสุเทพกล่าวว่าว่าเป็นธรรมดาที่สมเด็จฮุนเซน ต้องพูดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศกัมพูชา เพราะเป็นเรื่องภายใน ตนไม่เข้าแทรกแซง  ส่วนที่นายกฯให้ไปคุยทำความเข้าใจเรื่องที่ไทยประท้วงต่อคณะกรรมการมรดกโลกกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารนั้น นายกฯให้ไปพูดจาเรื่องมิตรไมตรีให้ดีขึ้น ส่วนปัญหาการเพิ่มกำลังตามแนวชายแดน ก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายทหาร เพราะถ้ารู้สึกว่าในพื้นที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้น ก็ต้องเตรียมการ แต่ต้องหาทางไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น

ยันไม่ทะเลาะเรื่องเขาพระวิหาร

นายสุเทพกล่าวว่าสิ่งที่จะไปเรียนสมเด็จฮุนเซ็น เพื่อให้ความสัมพันธ์ที่ดีของสองประเทศได้รับการพัฒนาในทางบวก   มีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่จะต้องทำอีกมากมาย เรื่องเขาพระวิหารไม่มีอะไรที่ไทยกับเขมรจะไปทะเลาะกันอีกแล้ว เพราะเป็นของกัมพูชา ศาลโลกก็ตัดสินไปตั้งนานหลายสิบปีที่แล้ว

เมื่อถามว่า ตกลงจะหยิบเรื่องเขาพระวิหารไปคุยกับสมเด็จฮุนเซ็นหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า “นี่ไงครับ มันจะทำให้เป็นประเด็นปัญหา ถ้าผมต้องตอบปัญหาอย่างนี้” เมื่อถามว่า ถ้างั้นจะซ้ำรอบเดิม ที่ผู้ใหญ่ฝ่ายไทยไปเยือนแต่ละครั้ง แต่ไม่ยอมพูดเรื่องดังกล่าว จนต้องไปเยือนกันแบบซ้ำซาก นายสุเทพกล่าวว่า อย่าเพิ่งมาด่วนสรุปว่าตนไปแล้วทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ยืนยันว่าไทยจะปฏิบัติกับเพื่อนบ้านอย่างคนที่มีมิตรไมตรีต่อกัน

เตรียมข้าวเหนียวมะม่วงไปฝาก

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่าการเดินทางเยือนกัมพูชาของนายสุเทพจะไปพร้อมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหาบก(ผบ.ทบ.) เวลา 09.30 น. จากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) และมีกำหนดหารืออย่างไม่เป็นทางการกับสมเด็จฮุน เซน และหลังเสร็จสิ้นการหารือ สมเด็จฮุน เซนจะเป็นผู้แถลงข่าว ทั้งนี้นายสุเทพและคณะ จะกลับประเทศไทยในเวลาประมาณ 15.30 น. ของวันเดียวกัน นอกจากนี้นายสุเทพยังสั่งให้เตรียมของฝากไปมอบให้สมเด็จฮุน เซนเป็นพิเศษอีกด้วย คือ มะม่วง และ ผลไม้ไทยอื่นๆ เนื่องจากทราบมาว่า สมเด็จฮุน เซนชอบข้าวเหนียวมะม่วงมาก

"มาร์ค" ย้ำค้านยูเนสโกไม่เกี่ยวเขมร

 วันเดียวกันนี้ เว็บไซต์สำนักข่าวไทย รายงานคำสัมภาษณ์ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระหว่างภารกิจเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายน ถึงกรณี สมเด็จฮุน เซน จะไม่เจรจากับนายสุเทพเรื่องปราสาทพระวิหาร ว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เป็นเรื่องของคณะกรรมการมรดกโลก ไทยยืนยันชัดเจนว่า ไม่เกี่ยวข้องกับกัมพูชา เป็นปัญหาระหว่างไทยกับคณะกรรมการมรดกโลก ที่ไทยไม่ต้องการให้การประกาศเป็นมรดกโลก มากระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งจะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ส่วนเรื่องของเขตแดนก็มีกลไกอยู่แล้ว ซึ่งนายสุเทพ และพล.อ.ประวิตรที่จะเดินทางไป โดยในการเจรจาจะยืนยันในกรอบที่ได้มีการตกลงระหว่างสองฝ่าย ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องปราสาทพระวิหาร

 นายอภิสิทธิ์ ยังตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวต่างประเทศระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์กรณีปราสาทพระวิหาร ว่า ได้ตกลงกับทางกัมพูชาแล้วว่าการแก้ปัญหาจะใช้สันติวิธีตามกระบวนการและข้อตกลงที่มีร่วมกัน และจะไม่ให้ปัญหาเดียวมาเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์สองประเทศ ทั้งนี้กรณีปราสาทพระวิหารเป็นปัญหากับคณะกรรมการมรดกโลก

"ปองพล"ชี้ส่ง"สุวิทย์"ค้านไร้ผล

ด้านนายปองพล อดิเรกสาร อดีตประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก กล่าวว่า ความวุ่นวายและความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาในขณะนี้เกิดจากรัฐบาลผูกโยงเอาเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกกับข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนมารวมกันจนทำให้เหตุการณ์ดูเหมือนจะยิ่งบานปลายมากขึ้น รวมทั้งการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาต่อยูเนสโก โดยส่งนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นผู้แทนไทยไปยื่นหนังสือคัดค้านในที่ประชุมของคณะกรรมการมรดกโลก ที่เมืองเซบีญา ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 23-30 มิถุนายนนี้  มองว่าการส่งนายสุวิทย์ไปครั้งนี้จะไม่มีประโยชน์อะไร และเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง มันสายเกินไปที่จะยื่นคัดค้าน เพราะยูเนสโกได้พิจารณาและตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว

นายปองพล กล่าวว่า การประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกที่เมืองเซบีญา ไม่มีวาระเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ที่สำคัญไทยไม่ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ ดังนั้นการไปร่วมประชุมของนายสุวิทย์ ไปแค่ในฐานะประเทศสมาชิกภาคีและผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่มีอำนาจที่จะแสดงความคิดเห็นหรือแถลงคัดค้าน ต้องรอจนกว่าประธานคณะกรรมการมรดกโลกจะอนุญาต ส่วนกรณีที่รัฐบาลคิดว่าการยื่นคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้วจะทำให้กัมพูชาอาจยอมรับให้ไทยขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน เป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง  เชื่อว่ากัมพูชาคงไม่เอาด้วย เห็นได้จากท่าทีของสมเด็จฮุน เซน

จี้จับตาตั้ง"ไอซีซี"กันเสียดินแดน

“ผมอยากแนะนำให้รัฐบาลนิ่งและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดว่ากัมพูชาจะแก้ปัญหาและทำอย่างไรกับการจัดทำแผนบริหารจัดการและพัฒนาปราสาทพระวิหาร ในส่วนของพื้นที่ชั้นในหรือคอร์โซน และพื้นที่กันชนหรือบัพเฟอร์โซน เนื่องจากพื้นที่บางส่วนทับซ้อนและยังมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนกับประเทศไทยอยู่ รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ (International Coordinating Committee หรือ ICC) ด้วย” นายปองพล กล่าว

นายปองพลกล่าวด้วยว่า หลังจากยูเนสโกมีมติให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ได้สั่งให้กัมพูชากลับมาทำแผนบริหารจัดการและพัฒนาปราสาทพระวิหารและตั้งคณะกรรมการ ICC และให้ส่งยูเนสโกภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ปรากฏว่ากัมพูชาไม่สามารถจัดทำแผนดังกล่าวเสร็จ และได้ขอเลื่อนส่งแผนมาเป็นเดือนพฤษภาคม 2551 แต่กัมพูชาก็ไม่สามารถจัดทำแผนดังกล่าวเสร็จ ซึ่งมองว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยเสียดินแดน รวมทั้งต้องรอดูว่าคณะกรรมการยูเนสโกจะทำอย่างไรหากกัมพูชาไม่สามารถจัดทำแผนบริหารจัดการและพัฒนาปราสาทพระวิหาร รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการ ICC ได้

ผบ.ทบ.ยันสองฝ่ายคุยไม่ใช้รุนแรง

ที่กองการบินกรมขนส่งทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ว่าได้ลงพื้นไปตรวจเยี่ยมกองทัพภาคที่ 2 และติดตามสถานการณ์จาก พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ยังอยู่ในสภาวะปกติ กำลังทหารทั้งสองฝ่ายที่ประจำอยู่บริเวณปราสาทพระวิหารได้ติดต่อพูดคุยกัน ยังไม่ได้เผชิญหน้ากันในลักษณะที่จะส่อไปถึงความรุนแรง ทหารทั้งสองฝ่ายยังพูดคุยกัน และแม่ทัพภาคที่ 2 ก็พบกับผู้บังคับบัญชาของกัมพูชาอยู่ ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่าจะไม่เริ่มปฏิบัติการให้เกิดความรุนแรง

เมื่อถามว่า กัมพูชามีการเสริมกำลังอาวุธหนักลงพื้นที่ฝ่ายไทยจะเจรจาหรือจะเสริมกำลังเพิ่มเติมหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่าในส่วนของกัมพูชาจะเป็นอย่างไร ของเรายืนยันว่าในหลักการจะไม่ประมาทในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ในบริเวณดังกล่าว แต่จะไม่เป็นฝ่ายที่เริ่มปฏิบัติการหรือใช้ความรุนแรง  ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายมองหาแนวทางว่าจะปรับลดกำลังอย่างไรให้เป็นไปตามกรอบที่ได้พูดคุยกัน และยืนยันจะไม่ใช้ความรุนแรงใด ๆ

มทภ.2หนักใจฮุนเซ็นไม่ยอมเจรจา
 
 ที่จ.นครราชสีมา พล.ท.วิบูลศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า  จากการไปเจรจาหารือกับผบช.กำลังทหารภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ เมื่อเย็นวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา  เป็นการหารือถึงการประชุมของทหารในระดับภูมิภาคผู้ปฏิบัติ ถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือในปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ที่จ.นครราชสีมา เพื่อสรุปปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาและยังไม่ได้รับการแก้ไข สาระสำคัญของการประชุม คือ เรื่องการปรับกำลังทหารของทั้งสองประเทศให้เหมาะสม เนื่องจากที่ผ่านมาทหารทั้งสองประเทศเคลื่อนกำลังเข้าหากัน ซึ่งหากไม่มีการแก้ไข อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ รวมทั้งเพื่อลดความตรึงเครียดของทหารทั้ง 2 ประเทศ ไม่ให้เผชิญหน้ากันมากจนเกินไป

หวั่นบานปลายถึงขั้นปะทะ

เมื่อถามว่าส่วนกรณีสมเด็จฮุนเซน ประกาศไม่เจรจากับฝ่ายมั่นคงของฝ่ายไทยจะส่งผลกระทบตามแนวชายแดนหรือไม่นั้น  พล.ท.วิบูลศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องระดับนโยบาย ส่วนผู้ปฏิบัตินั้นยอมรับว่ารู้สึกหนักใจ เนื่องจากขณะนี้ทหารทั้งสองประเทศเผชิญหน้ากันตลอดเวลา  สำหรับสถานการณ์แนวชายแดนขณะนี้ ผู้ปฏิบัติเองยังสามารถพูดคุยกันได้ แต่หากสถานการณ์บานปลายถึงขั้นมีความขัดแย้งระหว่างกำลังทหาร อาจเกิดความรุนแรงและเกิดการปะทะกันได้ ดังนั้นระดับนโยบายจึงต้องรีบหาทางแก้ปัญหา ขณะนี้สถานการณ์ยังดีอยู่ ยืนยันว่า ฝ่ายไทยไม่มีการถอนกำลังทหารตามแนวชายแดนอย่างแน่นอน  ระดับรัฐบาลผู้ปฏิบัติยังรอฟังอยู่ว่าจะเจรจาอย่างไร หากระดับสูงมีการเจรจากันได้ในระดับพื้นที่ก็จะลดความตรึงเครียดไปได้

ผบ.ทร.เชื่อสัมพันธ์ทางทหารช่วยลดความขัดแย้งไทย-เขมร

ขณะที่ พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ ให้สัมภาษณ์ภายหลังให้การรับรอง พล.ร.ท.เตีย วินห์ ผู้บัญชาการทหารเรือกัมพูชา ซึ่งเดินทางมาแนะนำตัวในโอกาสเข้าตำแหน่งใหม่ ว่าบรรยากาศการหารือเป็นไปอย่างดีมาก มีความเป็นมิตรภาพ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าจะไม่ประจันหน้ากัน และต้องการให้ประชาชนตามแนวชายแดนโดยเฉพาะด้านจันทบุรี-ตราดที่กองทัพเรือทั้งสองฝ่ายรับผิดชอบอยู่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข  ค้าขายกันตามปกติไม่ปิดจุดผ่านแดน และพื้นที่ทางทะเลก็ไม่มีปัญหาระหว่างกัน

“ผู้บัญชาการทหารเรือกัมพูชารับปากว่าควรให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายดำรงสภาพการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ทั้งนี้ ไม่ได้หารือเรื่องข้อพิพาทที่บริเวณปราสาทพระวิหาร และเชื่อว่าปัญหาจะไม่บานปลาย เรื่องนี้ในส่วนของผู้บัญชาการทหารดำเนินการอยู่แล้วทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันดี โดยเชื่อว่าสัมพันธ์ทางทหารที่ดีต่อกันจะสามารถช่วยคลี่คลายปัญหาระหว่างรัฐบาลและระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดี”ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าว

ทหารตรึงกำลังเข้มเขมรเสริมกำลัง-อาวุธหนัก

เมื่อเวลา 08.30น. วันที่  26 มิถุนายน ที่จ.ศรีสะเกษ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีการตรึงกำลังระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ล่าสุด ทหารกัมพูชาได้เสริมกำลังอย่างต่อเนื่องพร้อมนำอาวุธหนักทั้งปืนใหญ่และเครื่องยิงระเบิดอาร์พีจี ไปตรึงกำลังตลอดแนวรอบเขาพระวิหาร ซึ่งทหารกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นอดีตทหารเขมรแดงที่มีความเชี่ยวชาญการรบในเขตบริเวณเขาพระวิหาร เนื่องจากว่าในอดีตบริเวณเขาพระวิหารเป็นเขตที่เขมรแดงเคยยึดครอง โดยมีฐานที่มั่นสุดท้ายที่ อ.อันลองเวง  จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ไม่ห่างเขาพระวิหาร และทหารเขมรแดงเหล่านี้เข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา ภายหลังนายพลตา ม็อค อดีตผู้นำเขมรแดงหมดอำนาจลง

นายทหารกัมพูชานายหนึ่งกล่าวว่า  ฝ่ายกัมพูชานำเอาทหารเขมรแดงมาร่วมตรึงกำลังบริเวณเขาพระวิหารในครั้งนี้ เนื่องจากทหารเขมรแดงมีความชำนาญด้านภูมิประเทศ บริเวณเขาพระวิหารมากสูงมาก จึงมั่นใจว่า  หากเกิดการปะทะกัน ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ฝ่ายกัมพูชาจะได้เปรียบในการรบมากกว่าอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม พวกตนไม่อยากให้มีการสู้รบเกิดขึ้นเพราะจะทำให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินทั้งสองฝ่าย

ผู้สื่อข่าวงานว่า  ขณะเดียวที่ที่บ้านภูมิซรอล  ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ  ชาวบ้านภูมิซรอลยังคงดำเนินชีวิตตามปกติ ไม่มีความตื่นตระหนกหวาดกลัวกับการตรึงกำลังทหารระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาแต่อย่างใด 

นายบุญมี  บัวต้น นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)เสาธงชัย  กล่าวว่า  ไม่รู้สึกหวาดกลัวว่าจะมีการสู้รบขึ้นมา   เนื่องจากเชื่อมั่นว่า ทหารไทยสามารถรักษาความปลอดภัยได้อย่างเต็มที่ แต่เพื่อเตรียมความพร้อม ตนได้ร่วมกับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนอพยพประชาชน พร้อมจัดเตรียมหลุมหลบภัยไว้ในหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์