อภิสิทธิ์ลั่นรื้อกม.อาวุธหลังอาวุธสงครามโผล่ก่อเหตุ

คมชัดลึก : "นายกฯอภิสิทธิ์"ลั่นเตรียมรื้อกม.อาวุธใหม่ หลังปัญหาการใช้อาวุธสงครามก่อเหตุโผล่เป็นดอกเห็ด


(10พ.ค.)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบุกเข้ากวาดล้างจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ย่านพัฒน์พงษ์ ว่า ในเชิงนโยบายการปราบปรามถือว่าเป็นที่เรื่องสำคัญ เนื่องจากเป็นผลประโยชน์ของประเทศไทย ถ้าเศรษฐกิจของเราอยากได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่วิธีการอาจจำเป็นต้องมีการทบทวนถ้าที่ผ่านมามีอะไรที่ทำไม่ถูกต้อง ต้องไปสอนและดู ซึ่งถ้ามีคนได้รับผลกระทบจะต้องให้ความเป็นธรรม ส่วนผู้เสียหายต้องเยียวยา โดยรัฐบาลต้องเอาเหตุการณ์ท้งหมดมาทบทวนดู

 เมื่อพิธีกรถามว่าในช่วงที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่ใส่เกียร์ว่างใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่อยากใช้คำว่าเกียร์ว่างกับข้าราชการ ซึ่งหลังจากที่มีการคุยเปิดอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายส่วน ก็ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนใหญ่มีความกังวลเรื่องการทำงานว่าจะได้รับการคุ้มครองมากน้อยแค่ไหน หากเกิดปัญหาตามมาจะมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เราต้องยอมรับว่าการประสานงานยังไม่ค่อยลงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้หน่วยงานอื่นที่ไม่ใช้หน่วยงานมั่นคง

 เมื่อพิธีกรถามถึงปัญหาอาวุธสงครามหาได้ง่าย เพราะหลังจากที่เกิดการลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล และล่าสุดเกิดเหตุการณ์ปล้นร้านทองที่กลางเมืองจังหวัดชลบุรี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องอาวุธสงครามถือว่าเป็นปัญหาที่มีความยืดเยื้อมานาน ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหา และอาจจะมีการปรับรื้อระบบพอสมควร ตนยอมรับว่าในระยะหลังเกิดเหตุใช้อาวุธสงครามที่มีความอุกอาจมากยิ่งขึ้น และเกิดเหตุในพื้นที่เมือง ซึ่งพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ได้ดูเรื่องนี้อยู่แล้ว อย่างคดียิงถล่มนายสนธิ ผบ.ทบ.ก็สั่งเร่งดำนินการเป็นการภายในแล้ว

อย่างไรก็ตามเว็บไซต์ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้รายงานบทความเรื่อง "เปิดปูมอาวุธสงครามกลางเมือง “คนมีสี” พ่อค้าตัวจริง!" วันนี้(10พ.ค.) ความว่า 
 
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นมีข่าวอาชญากรรมสะเทือนขวัญที่เกี่ยวพันกับอาวุธสงครามเกิดขึ้นติดๆ กันหลายต่อหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใช้อาวุธสงครามยิงถล่มศาลรัฐธรรมนูญ คดียิงถล่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเอเอสทีวีผู้จัดการและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 17 เม.ย. การจับกุมแก๊งค้าอาวุธสงครามชาวจีนในพื้นที่ จ.ชลบุรี และล่าสุดคดีปล้นร้านทองเยาวราชพัทยา เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ซึ่งคนร้ายใช้อาวุธสงครามนานาชนิดกราดยิงเจ้าของทรัพย์ ประชาชนและเจ้าหน้าที่อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
      
       เหตุใดบ้านนี้เมืองนี้จึงมีอาวุธสงครามอยู่เกลื่อนกลาด และอาวุธร้ายแรงเหล่านี้มีที่มาจากไหน ‘ASTV ผู้จัดการออนไลน์’ ขอนำท่านไปร่วมไขปริศนา ...
      
       แบบไหนจึงเรียก “อาวุธสงคราม”
      
       หากจะพูดถึงอาวุธสงครามแล้วคงต้องขีดเส้นใต้ให้ชัดเจนว่าอาวุธประเภทใดที่จัดเป็นอาวุธสงครามบ้าง เนื่องด้วยอาวุธต่างๆที่เหล่ามือปืนนิยมนั้นไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นอาวุธสงครามทั้งหมด เพราะ ‘อาวุธสงคราม’ หมายถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้เพื่อ ‘การรบ’ เป็นหลัก เป็นเครื่องมือสังหารที่มีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูง เช่น ปืนอาก้า ปืนกล ปืนคาร์บิน ปืน M16 M79 (เครื่องยิงระเบิด) ซึ่งอาวุธเหล่านี้จะถูกจัดซื้อโดยหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ นั่นก็คือกองทัพและสำนักงานตำรวจของแต่ละประเทศ ซึ่งจะสั่งซื้อจากประเทศผู้ผลิตโดยตรง อย่างไรก็ดีกระบวนการนอกกฎหมายก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีการซื้อขายอาวุธสงครามด้วยเช่นกัน โดยมีทั้งแก๊งค้าอาวุธสงครามที่เป็นเครือข่ายข้ามชาติ ซึ่งมักส่งขายให้แก่กลุ่มก่อการร้ายหรือกลุ่มกบฏในประเทศต่างๆ และพ่อค้าคนกลางที่รับจัดหาอาวุธสงครามตามออเดอร์
      
       ส่วนอาวุธสังหารอื่นๆ ที่มือปืนนิยมใช้ และมีอานุภาพไม่ร้ายแรงเท่าอาวุธสงครามข้างต้นนั้นส่วนมากมักเป็นปืนเถื่อน ซึ่งมีทั้งปืนที่ปกติแล้วสามารถจดทะเบียนและซื้อขายได้ตามกฎหมาย แต่ผู้ซื้อผู้ขายไม่จดทะเบียนเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการติดตามตัวผู้ครอบครองภายหลังจากการก่อเหตุ เช่น ปืน 9 ม.ม. ปืน 11 ม.ม. ปืน .38 ปืนลูกซอง และปืนที่ทำขึ้นเองที่เรียกว่าปืนไทยประดิษฐ์ ซึ่งไม่สามารถจดทะเบียนได้ โดยแหล่งผลิตใหญ่ของปืนไทยประดิษฐ์จะอยู่ในแถบภาคกลางบริเวณจังหวัดปทุมธานี อ่างทอง ชัยนาท สิงห์บุรี และนครสวรรค์ (ไม่รวมถึงแหล่งผลิตอาวุธปืนปากกาตามโรงเรียนอาชีวะต่างๆ)
      
       นายทหารระดับสูงท่านหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า “ปกติอาวุธสงครามจะซื้อขายกันแบบ G to G หรือ รัฐต่อรัฐ แต่ในความเป็นจริงก็มี M16 ที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกาถูกส่งไปทั่วโลก แต่เป็นการซื้อขายในลักษณะอาวุธเถื่อน เช่น ทหารของประเทศในแถบตะวันออกกลางหรือแอฟริกา อาจลักลอบนำอาวุธออกมาขายโดยอ้างว่าขายเพื่อนำเงินไปซื้ออาหาร ขณะที่ชนกลุ่มน้อยในประเทศต่างๆ ก็พยายามติดต่อสั่งซื้ออาวุธจากทั่วโลก อาทิ ชนกลุ่มน้อยในพม่าก็สั่งซื้ออาวุธจากหลากหลายแหล่ง ทั้งจากพ่อค้าคนไทย จากกัมพูชา และจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่รายหนึ่งของโลก”
      
       ขณะที่ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล และอดีตหัวหน้าหน่วยปราบปรามมือปืนรับจ้าง กองบังคับการตำรวจนครบาล ระบุว่า ปัจจุบันกลุ่มมือปืนต่างๆนิยมใช้อาวุธสงครามกันมากขึ้น เนื่องจากประสิทธิภาพรุนแรง และสามารถซื้อหาได้ง่าย
      
       “เมื่อก่อนการใช้อาวุธสงครามในการก่อคดีมีน้อยมาก เรียกได้ว่าเมื่อ 15-20 ปีที่แล้วมือปืนส่วนใหญ่จะนิยมใช้ปืนลูกซอง ปืน .38 และปืนไทยประดิษฐ์ เป็นหลัก ในสมัยนั้นในเขตกรุงเทพฯนี่ถ้ามีคดีที่ใช้อาวุธสงครามเกิดขึ้น หัวหน้าสถานีตำรวจในพื้นที่นั้นจะต้องถูกย้ายทันที ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่มีการใช้อาวุธสงครามกันอย่างแพร่หลาย คือสมัยก่อนแม้ว่าช่วงหลังจากสงครามอินโดจีนสงบลงจะมีปืนจากประเทศเพื่อนบ้านทั้ง ลาว เวียดนาม กัมพูชา ทะลักเข้ามา แต่รัฐบาลจะปราบปรามอย่างเข้มข้น รวมทั้งใช้กลวิธีในการดึงอาวุธสงครามออกจากตลาด เช่น ให้ทางตำรวจกว้านซื้ออาวุธสงครามตามแนวชายแดนมาเก็บไว้”
      
       ชายแดนไทย-เขมร แหล่งค้ารายใหญ่
      
       จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายพื้นที่ชี้ชัดตรงกันว่าอาวุธสงครามส่วนใหญ่ที่กระจายอยู่ในประเทศไทยนั้นถูกลักลอบนำเข้ามาจากประเทศกัมพูชา ซึ่งอาวุธหลักๆที่ถูกนำเข้ามามีอยู่ 2 ชนิด คือ ปืนอาก้า และ M16 โดยว่ากันว่าหลังจากมีการเซ็นสนธิสัญญายุติสงครามของเขมร 3 ฝ่าย ในช่วงปลายปี 2534 และเลิกรบกันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในปี 2537 ขบวนการค้าอาวุธสงครามบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาก็ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
      
       พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี รองผู้บัญชาการศูนย์สืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล อธิบายถึงเส้นทางการค้าอาวุธสงครามในไทยว่า
      
       “สมัยก่อนอาวุธสงครามจะเข้ามาตามแนวตะเข็บชายแดน จุดที่ทะลักเข้ามามากคือ
       บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในช่วงหลังจากสงคราม 3 ฝ่ายในประเทศกัมพูชายุติลงใหม่ๆ ทหารกัมพูชาก็ลักลอบนำอาวุธสงครามที่ใช้ในกองทัพมาขายตามแนวตะเข็บชายแดน นอกจากนั้นก็มีการซื้อขายตามชายแดนไทย-พม่า โดยชนกลุ่มน้อยที่อยู่บริเวณชายขอบ”
      
       ขณะที่นายทหารท่านเดิม ระบุว่า “ในช่วงสงครามเขมร 3 ฝ่ายนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและรัสเซียต่างก็ให้การสนับสนุนอาวุธแก่ขั้วอำนาจต่างๆของเขมร โดยสหรัฐฯส่ง M16 มาช่วยฝ่ายนายพลลอนนอล ส่วนรัสเซียก็แอบส่งปืนอาก้ามาให้ฝ่ายเขมรแดง หลังสิ้นสุดสงครามบ้านเมืองอดอยาก ทหารทั้ง 2 ฝ่ายก็เลยนำอาวุธปืนที่ใช้ออกมาขายเพื่อนำเงินไปซื้อข้าวปลาอาหาร สมัยนั้นเวลาทหารฝ่ายหนึ่งเข้าตีอีกฝ่ายได้สำเร็จก็จะฆ่าและยึดอาวุธมาเก็บไว้ บ้างก็เอามาห่อผ้าแล้วฝังดินไว้ พอต้องการใช้เงินก็ไปขุดออกมาขาย”
      
       ซุกเครื่องรถ-มากับรถขนผัก
      
       สำหรับเส้นทางการลำเลียงและวิธีการค้าขายอาวุธสงครามตามแนวชายแดนไทยกัมพูชานั้น พ.ต.อ.กิตติพงษ์ เงามุข รองผู้บังคับการ หัวหน้าศูนย์สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธร ภาค 2 ขยายความให้ฟัง ว่า
      
       “เนื่องจากพื้นที่ภูธร ภาค 2 นั้นมีหลายจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับประเทศกัมพูชา เช่น สระแก้ว จันทบุรี ตราด สามารถเดินข้ามไปมาหากันได้เพราะมันไม่มีรั้วกั้น เวลาหน้าแล้งพ่อค้าก็จะลักลอบนำอาวุธสงครามจากกัมพูชาข้ามมาส่ง โดยวิธีการก็มีทั้งนำมาซุกไว้ตามพุ่มไม้ตามแนวชายแดน แล้วนัดแนะลูกค้าคนไทยให้ไปเอาของ บ้างก็ซ่อนไว้ในช่องเก็บเครื่องในรถยนต์ ที่พบบ่อยที่สุดคือซุกซ่อนมากับสินค้าเกษตรต่างๆ ซุกไว้ใต้เข่งแล้วก็เอาผักวางทับๆ ลงไป ซึ่งการขนถ่ายลักษณะนี้บางทีแม้จะเข้าออกตามด่านชายแดนเจ้าหน้าที่ก็จับไม่ได้ เพราะแต่ละวันมีคนผ่านเข้าออกเยอะมาก จึงไม่สามารถตรวจค้นได้หมดทุกคน ยกเว้นแต่ว่าจะมีสายรายงานเข้ามา ซึ่งวิธีการทำงานของเราก็จะส่งสายเข้าไปแทรกซึมในกลุ่มของผู้ค้าอาวุธเพื่อติดตามการเคลื่อนไหว
      
       อย่างกรณีล่าสุดที่เราจับได้นั้นเป็นพ่อค้าอาวุธชาวจีน จากแผ่นดินใหญ่ ชื่อนายหลี เหว่ยหมิง เป็นพ่อค้าคนกลางที่จัดหาอาวุธสงครามส่งให้มาเฟียในฮ่องกง เขาเข้ามารับของจากคนไทย โดยให้ราคาสูงมาก ปืนอาก้ากับ M16 เขาให้กระบอกละ 2 แสนบาท ขณะที่ราคาในตลาดมืดที่ขายอยู่ที่กระบอกละ 1 หมื่นบาทท่านั้น ซึ่งจากการสอบสวนพบว่าคนไทยที่จัดหาปืนให้นั้นเป็นนายทหารระดับจ่า สังกัดฐานทัพเรือสัตหีบ ก่อนที่จะวางแผนเข้าจับกุมเราได้รับรายงานจากสายว่าจะมีการนัดขนส่งสินค้ากันทางเรือ โดยมีนายหลี เหว่ยหมิง บินมาควบคุมการขนสินค้าลงเรือด้วยตัวเอง จากนั้นเขาก็จะบินไปรับสินค้าที่ท่าเรือฮ่องกง ซึ่งอาวุธที่จับได้ก็ไม่มาก มีแค่ปืนเอ็ม 16 ปืนอาก้า และปืนพกสั้น 9 ม.ม.อย่างละ 1 กระบอก กระสุนรวม 600 กว่านัด แล้วก็เสื้อเกราะกันกระสุน 1 ตัว ซึ่งหลังจากนี้เราก็จะขยายผลถึงแหล่งที่มาของอาวุธเหล่านี้ต่อไป”
      
       ด้าน พล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ศรีสะเกษ หนึ่งในพื้นที่ซึ่งมีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา ระบุว่า “เส้นทางที่นิยมขนอาวุธกันส่วนใหญ่ก็คือเส้นทางที่ใช้หาของป่า แต่คนขนของต้องเป็นผู้ที่ชำนาญเส้นทางเพราะตามแนวชายแดนก็ยังมีระเบิดที่ทหารกัมพูชาฝังไว้หลงเหลืออยู่ แต่ว่าปัจจุบันอาวุธสงครามที่เข้ามาทางด้านชายแดนไทย-กัมพูชานั้นลดน้อยลงมาก ปีหนึ่งจับได้เพียงไม่กี่ราย รายหนึ่งก็มีไม่กี่กระบอก นอกนั้นก็เป็นพวกเครื่องกระสุนและวัตถุระเบิด ซึ่งผิดกับเมื่อ 7-8 ปีก่อน ที่มีการขนอาวุธสงครามกันเป็นคันรถเลย แต่ที่เรายังเห็นว่ามีการใช้อาวุธสงครามกันเกลื่อนเมืองก็น่าจะเป็นอาวุธเก่าที่ซื้อขายเปลี่ยนมือและหมุนเวียนกันอยู่ในตลาด”
      
       โจรใต้ ปล้นฆ่า ชิงอาวุธ
      
       อีกจุดหนึ่งที่มีการค้าขายอาวุธสงครามกันอย่างครึกโครมก็คือในแถบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีกลุ่มโจรก่อการร้ายชุกชุม โดยอาวุธมักถูกส่งมาจากกลุ่มก่อการร้ายที่อยู่ในเขตประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ขณะเดียวกันบางครั้งกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ก็สั่งซื้ออาวุธสงครามจากกัมพูชาโดยลำเลียงผ่านทางประเทศไทย นอกจากนั้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มักเลือกใช้วิธีเข้ามาปล้นปืนจากหน่วยงานด้านความมั่นคงที่อยู่ในพื้นที่ และมีการดักสังหารเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อช่วงชิงอาวุธอีกด้วย อย่างเช่น ในปี 2547 มีกลุ่มก่อความไม่สงบ นำโดย นายมะแซ อุเซ็ง บุกเข้าปล้นปืนในกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ได้อาวุธสงครามไปเป็นจำนวนมาก
      
       แหล่งข่าวนายทหารระดับสูง เปิดเผยถึงข้อมูลในเรื่องนี้ว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านนั้นยุทธวิธีของกลุ่มโจรก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนรุนแรงขึ้นมาก  พวกนี้เหิมเกริมถึงขั้นเข้ามาปล้นปืนจากทหารไทย บางครั้งก็สามารถยึดไปได้นับร้อยกระบอก ซึ่งเวลาเข้ามาปล้นปืนกลุ่มโจรพวกนี้ก็บุกเข้ามาเป็นร้อยคน ทหารไทยมีอยู่ไม่เท่าไรก็สู้เขาไม่ได้ ซึ่งในช่วงที่ทหารไทยถูกปล้นปืนไปเยอะๆ นั้นทางหน่วยทหารของมาเลเซียเขาก็ถูกปล้นปืนเหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่ากลุ่มที่ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกันหรือเปล่า ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่าอาวุธสงครามที่กลุ่มโจรใต้
       ปล้นไปจากทหารไทยนั้นส่วนหนึ่งก็เอาไปขายต่อให้กลุ่มอาเจะ ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายในอินโดนีเซีย ส่วนหนึ่งก็ขายให้ชนกลุ่มน้อยในพม่า และอีกส่วนก็เก็บไว้ใช้เอง นอกจากนั้นกลุ่มโจรพวกนี้ก็มักจะใช้วิธีลอบยิงเพื่อที่จะชิงอาวุธประจำกายของเจ้าหน้าที่”
      
       พล.ต.ต.สมควร คัมภีระ ผบก.อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดนภาคใต้ ระบุว่า “วิธีการเสาะหาอาวุธสงครามของกลุ่มโจรใต้ก็คือการปล้นฆ่าเพื่อชิงอาวุธ โดยจะเลือกสังหารกลุ่มที่เป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร เพราะรู้ว่าคนกลุ่มนี้มักพกปืน ดังนั้นหลายครั้งที่ตำรวจหรือทหารในจังหวัดชายแดนภาคใต้จับกุมโจรก่อการร้ายได้ก็มักพบว่าอาวุธที่พวกนี้ใช้นั้นเป็นอาวุธของหน่วยราชการ”
      
       M79 มาจากไหน?
      
       ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าการซื้อขายอาวุธสงครามตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาซึ่งจัดว่าเป็นแหล่งใหญ่ในการแพร่กระจายอาวุธสงครามนั้น นอกจากปืนอาก้าและ M16 ซึ่งมีการซื้อขายกันมาตั้งแต่หลังสงครามเขมร 3 ฝ่ายยุติลงแล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ยังมี ระเบิด M79 เข้ามาขายตามแนวชายแดนด้วย ซึ่งอาวุธสงครามอานุภาพร้ายแรงดังกล่าวนั้นถูกนำเข้ามาโดยพ่อค้าคนกลางที่มีสายสัมพันธ์กับนายทหารระดับสูงของกัมพูชา แล้วจึงกระจายมาสู่เอเยนต์ชาวไทย ซึ่งกลุ่มที่เป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดก็
       หนีไม่พ้น‘คนมีสี’ ซึ่งมีบารมีพอที่จะปูทางให้การขนถ่ายและกระจายสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น จึงไม่แปลกที่ในช่วงที่ผ่านมาจะมีการก่อเหตุร้ายโดยใช้ M79 เป็นเครื่องทุ่นแรง ไม่ว่าจะเป็นกรณียิง M79 เข้าใส่พันธมิตรฯที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาล ยิง M79 เข้าไปในศาลรัฐธรรมนูญ หรือกรณียิงถล่มนายสนธิ ซึ่งมี M79 เป็นหนึ่งในอาวุธสังหาร
      
       แหล่งข่าวระดับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ระบุว่า “อาวุธสงครามที่อยู่ในคลังของตำรวจและทหารนั้นจะมีการบันทึกรายการไว้โดยละเอียด มีหลักฐานในการเบิกจ่ายว่านำอาวุธออกมาวันไหน จำนวนเท่าไร ดังนั้นการนำ M79 ออกมาใช้ หรือเอาออกมาจำหน่ายจึงเป็นเรื่องยาก ทางหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือผู้ที่จัดซื้ออาศัยสายสัมพันธ์ที่มีกับนายหน้าหรือบริษัทที่ขายอาวุธสงคราม สั่งซื้ออาวุธสงครามต่างๆ เป็นการส่วนตัว แล้วก็เอามาขายในตลาด เท่าที่รู้อาวุธสงครามที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทยตอนนี้นั้นทุกชนิดรวมกันมีอยู่ประมาณ 1,000 กว่ากระบอก ซึ่งอาวุธเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนมือกันไปเรื่อยๆ บางคนใช้สังหารเหยื่อเสร็จก็ขายทิ้งเพราะไม่อยากเก็บไว้เป็นหลักฐาน”
      
       ‘คนมีสี’ พ่อค้าอาวุธตัวจริง
      
       ขณะที่นายทหารอีกท่านหนึ่ง อธิบายถึงกระบวนการในการนำอาวุธร้ายแรงอย่าง M79 มาก่อเหตุเพื่อหวังผลทางการเมืองว่า ตนเชื่อว่าอาวุธ M79 ที่ใช้ก่อเหตุในกรณีข้างต้นนั้นไม่ได้ออกมาจากกองทัพ แต่เป็นอาวุธที่นำเข้ามาจากฝั่งกัมพูชา โดยผู้ที่จะทำมาหากินในเส้นทางนี้ได้ก็ต้องมีบารมีมากพอ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็หนีไม่พ้น ‘คนมีสี’ โดยเฉพาะนายทหารระดับนายพล ทั้งที่เป็นนายทหารนอกราชการและที่ยังรับราชการอยู่ โดยบุคคลเหล่านี้จะมีสายสัมพันธ์อันดีกับนายทหารระดับสูงของกัมพูชา และใช้คอนเนกชันของนายพลชาวกัมพูชาในการติดต่อซื้อขายกับนายหน้าที่ค้าขาย

       อาวุธให้กองทัพกัมพูชา และด้วยความที่เป็นนายทหารระดับสูงซึ่งอยู่ในวงการทหารมานานการจะเคลียร์เส้นทางเพื่อนำอาวุธสงครามเข้ามาในไทยจึงไม่ใช่เรื่องยาก โดยพาหนะที่ปลอดภัยที่สุดในการขนย้ายอาวุธสงครามก็คือรถของทหารนั่นเอง
      
       “พ่อค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ในประเทศไทยตอนนี้ก็มีแต่คนมีสีทั้งนั้น เขาก็จะมีนายทหารรุ่นน้องๆ ที่รักใคร่เกรงอกเกรงใจกันช่วยเคลียร์เส้นทางให้ ส่วนใหญ่ก็ฝากมากับรถทหารนั่นแหละ แหม... เอาของใส่รถทหารมาใครจะกล้าค้น พอเข้ามาในประเทศแล้วการค้าขายก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะของพวกนี้มันมีกลุ่มคนที่ต้องการอยู่แล้ว และในวงการเขาก็จะรู้กันว่าถ้าอยากได้ของต้องไปติดต่อใคร ส่วนใหญ่นายทหารที่ทำธุรกิจนี้เขาก็จะให้ทหารตัวเล็กๆ พลทหารบ้าง จ่าบ้าง ซึ่งเป็นลูกน้องของเขาเนี่ยเป็นคนขน‘ของ’ไปส่งลูกค้า หรือบางทีก็ทำหน้าที่เซลส์ช่วยติดต่อกระจายสินค้าให้ด้วย คนมีสีที่เป็นพ่อค้าอาวุธสงครามที่ขึ้นชื่อที่สุดในวงการตอนนี้คือ พลเอก พ.พาน เป็นนายทหารนอกราชการ เขามีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับ นายพล ซ.โซ่ ของกัมพูชา เขาก็ติดต่อกับผู้ค้าอาวุธในกัมพูชาผ่านนายพล ซ.โซ่ นอกจากนั้นน้องชายของ พลเอก พ.พาน คือ พลโท ต.เต่า ซึ่งยังรับราชการทหารอยู่ก็ไปร่วมลงทุนกับนายพล ซ.โซ่ ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และบ่อนการพนันในกัมพูชาด้วย ทำให้สายสัมพันธ์ของ 2 กลุ่มนี้เหนี่ยวแน่นขึ้นไปอีก
      
       อาวุธสงครามที่คนมีสีพวกนี้นำเข้ามาก็จะมีทั้งอาก้า , M16 , M79 แล้วก็มีลูกน้องที่เป็นนายทหารคอยจัดส่งสินค้าให้ สังเกตได้ว่าเวลามีการจับกุมอาวุธสงครามจะมีทหารระดับปลายแถวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ บางทีก็เป็นคนติดต่อจัดหาอาวุธ บางทีก็เป็นคนขับรถ ส่วน M79 ที่ใช้ก่อความวุ่นวายในช่วงที่ผ่านมาเนี่ยก็น่าจะมาจากเขมรนี่แหล่ะ ส่วนการจะเอาปืนออกมาจากกองทัพนั้นเป็นไปได้เลย แต่ถ้าหากเป็นเครื่องกระสุนนี่สามารถเอาออกมาได้ ทั้งกระสุน M16 ลูกระเบิด M79 โดยจะเอาออกมาในช่วงที่มีการซ้อมยิง เช่นทำเรื่องเบิกออกมา 100 นัด อาจใช้จริงแค่ 50 นัด ที่เหลือก็เอาออกมาขาย”
      
       ราคา “อาวุธสงคราม” ในท้องตลาด
      
       มีรายงานว่า สำหรับสนนราคาของอาวุธสงครามที่มีการซื้อขายในปัจจุบันนั้นสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเนื่องจากปริมาณสินค้าเริ่มขาดแคลน โดยเมื่อ 4-5 ปีก่อนนั้น ปืนอาก้า และปืน M16 ที่ขายตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ราคาเพียงกระบอกละ 5,000 -6,000 บาทเท่านั้น แต่ปัจจุบันปืนอาก้าราคาพุ่งสูงขึ้นไปถึงกระบอกละ 10,000-12,000 บาท ส่วน M16 ราคาอยู่ที่ 10,000-15,000 แต่หากอาวุธถูกขนส่งเข้ามาขายในตลาดมืดของไทย อาก้า ราคะจะขึ้นไปที่ 15,000-17,000 บาท ส่วน M 16 ราคาขยับไปถึง 20,000
      
       ส่วน M79 ที่ซื้อขายกันในปัจจุบันมีอยู่ 2 รุ่น คือ หนึ่ง รุ่น M203 ซึ่งเป็นการนำปืน M16 A1 มาประกอบกับเครื่องยิง M79 โดยรุ่นนี้ใช้ยิงได้ทั้งลูกกระสุนของ M16 และลูกระเบิดของ M79 สนนราคาอยู่ที่ 25,000 บาท และ สอง M79 ซึ่งเป็นเครื่องยิงระเบิด M79 ราคาที่ขายตามแนวชายแดนอยู่ที่ 10,000 บาท แต่หากนำเข้ามาขายในประเทศจะอยู่ที่กระบอกละ 15,000 บาท
      
       “ซุ้ม” ไหนถนัดอะไร
      
       ว่ากันว่ามือปืนแต่ละซุ้ม แต่ละกลุ่มก็อาจจะมีความถนัดในการใช้อาวุธปืนที่แตกต่างกันไป สำหรับในสมัยก่อนนั้นมือปืนชั้นเซียนจะใช้ปืน 11 ม.ม.เป็นอาวุธสังหารเท่านั้น แต่ปัจจุบันอาวุธที่ใช้มีความหลากหลายขึ้น มือปืนทั่วไปจะเลือกอาวุธโดยมองปัจจัยหลายด้านประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นความถนัดในการใช้งาน ความสะดวกในการพกพา ประสิทธิภาพของอาวุธ เช่น ความแม่นยำ สามารถบรรจุกระสุนได้ครั้งละหลายๆ นัด แต่ทั้งนี้ซุ้มมือปืนที่ยังนิยมใช้ปืน 11 ม.ม. ก็ยังมีอยู่บ้าง เช่น ซุ้มมือปืนในจังหวัดชลบุรี ราชบุรี นครปฐม เพชรบุรี ชุมพร เชียงราย และซุ้มมือปืนในกรุงเทพฯ
      
       ขณะที่กลุ่มมือปืนที่นิยมใช้ปืน 9 ม.ม. ได้แก่มือปืนในจังหวัดเพชรบูรณ์ และมือปืนในแถบภาคกลาง ส่วนมือปืนทิ่ใช้อาวุธสงคราม เช่น อาก้า M16 , M79 ได้แก่ มือปืนในแถบเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี ชลบุรี จันทบุรี ชุมพร และจังหวัดที่มีค่ายทหารเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากสามารถหาซื้ออาวุธและเครื่องกระสุนได้ง่าย เพราะมักมีทหารนอกแถวลักลอบนำออกมาขาย หรือบางกรณีการติดต่อซื้อขายก็ดำเนินการผ่านนายทหารทั้งที่ปลดประจำการแล้วและยังรับราชการอยู่ อีกทั้งยังพบว่าการใช้อาวุธสงครามในการก่อคดีหลายครั้งมักมีคนสีเข้าไปเกี่ยวข้อง
      
       เช่น นายขวัญ หรือ ช็อก นิลโพธิ์ มือปืนอันดับที่ 20 ตามหมายจับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ถูกขึ้นบัญชีไว้เมื่อปี 2549 มือปืนจากหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งซึ่งมีค่ายทหาร ก็เป็นหนึ่งในมือสังหารที่ชอบใช้อาวุธสงคราม ส่วนคดีฆ่า นายวิโรจน์ หรือ ‘ไต๋แบ’ วิเศษพงษ์พันธ์ เสี่ยใหญ่เจ้าของเซเยสผับ สถานบันเทิงชื่อดังใน จ.ตรัง ซึ่งคนร้ายใช้ M16 เป็นอาวุธสังหารนั้น จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าทีมฆ่าเป็นแก๊งคนมีสี สังกัดซุ้มมือปืนเมืองคอน จ.นครศรีธรรมราช
      
       ขณะที่ กรณีการปล้นร้านทองที่พัทยา เมื่อวันที่ 4 พ.ค.2552 ซึ่งเป็นข่าวใหญ่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็มีการใช้ปืนที่จัดเป็นอาวุธสงครามในการก่อเหตุ ถึง 4 กระบอก และเมื่อสามารถจับกุมคนร้ายได้และมีการขยายผลเข้าตรวจค้นที่บ้านพักของคนร้ายก็พบอาวุธสงครามและอาวุธร้ายแรงอีกเป็นจำนวนมาก คือพบปืนรวม 7 กระบอก ได้แก่ M16 1 กระบอก, M16 ติดลำกล้อง 1 กระบอก, อาก้า 1 กระบอก, ปืน M3 (ปืนกลพับฐาน) 1 กระบอก, ปืนคาร์บิน 1 กระบอก, ปืนลูกโม่ .38 จำนวน 1กระบอก, เครื่องยิง M79 จำนวน 1 กระบอก, ระเบิดแบบขว้าง 2 ลูก, ระเบิดควัน 1 ลูก และกระสุนอีก 7,467 นัด ซึ่งนับเป็นการจับกุมที่พบอาวุธสงครามมากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยผู้ต้องหาให้การว่าเป็นอาวุธที่สะสมไว้นานแล้ว โดยจัดซื้อผ่านเพื่อนที่เป็นอดีตทหารเกณฑ์ซึ่งอ้างว่านำเข้ามาจากกัมพูชา
      
       อย่างไรก็ดี ปืนลูกซองซึ่งดูจะเป็นอาวุธที่ล้าสมัยไปแล้วในสายตาของบรรดามือปืนทั่วไป ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง เช่น ในแถบจังหวัดอุทัยธานีซึ่งเป็นแหล่งผลิตปืนชนิดนี้ หรืออย่าง นายปัน หวลอารมณ์ ชาวอำเภอจุน จังหวัดพะเยา มือปืนอันดับที่ 50 ที่ถูกขึ้นบัญชีไว้เมื่อปี 2549 ก็เป็นมือปืนลูกทุ่งขนานแท้ที่มักพกลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์เป็นอาวุธประจำกาย
      
       แต่ทั้งนี้ก็มีมือเพชฌฆาตจำนวนไม่น้อยที่สามารถใช้อาวุธได้หลากหลายรูปแบบ โดยดูความจำเป็นของงานที่รับเป็นหลัก อาทิ นายโส หรือ ‘บักคูณ’ สำรวมจิต ฉายา ‘นักฆ่าชุดดำ’ อดีตทหารพราน จากบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ มือปืนอันดับ 2 ตามบัญชีมือปืนปี 2549 ก็เป็นมือระดับพระกาฬที่เชี่ยวชาญทั้งอาวุธปืนพกสั้น .38 และ 9 ม.ม. รวมไปถึงวัตถุระเบิดด้วย
      
       ยุทธวิธีสังหาร
      
       จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่พบว่าอาวุธที่ใช้สังหารกับ‘วิธีการยิง’ ที่มือปืนเลือกใช้กับเหยื่อนั้นมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง โดยบรรดามือปืนจะมีวิธีการยิงหลักๆ อยู่ 3 วิธี คือ ประกบยิง ยิงถล่ม และซุ่มยิง
      
       การประกบยิง เป็นวิธีการเด็ดชีพเหยื่อที่มือเพชฌฆาตนิยมกันมากที่สุด โดยอาวุธที่เหมาะกับการสังหารในระยะประชิด ได้แก่ ปืนสั้นขนาด 9 มม. หรือ 11 มม. เนื่องจากพกพาง่าย และสามารถซ่อนได้มิดชิด แม้เข้าไปใกล้เหยื่อก็ไม่รู้สึกผิดสังเกต ซึ่งระยะของการประกบยิงจะอยู่ระหว่าง 1-3 เมตร โดยมือปืนจะแบ่งกระสุนการยิงเป็น 2 ชุด ชุดแรกเป้าหมายของกระสุนจะอยู่ที่หน้าอกเพื่อให้เหยื่อล้มลงก่อน จากนั้นจึงตามไปยิงซ้ำชุดที่สองที่ศีรษะอีก 2-3 นัด จนแน่ใจว่าตายสนิท
      
       สำหรับเหยื่อมักเป็นคนธรรมดาทั่วไป นักธุรกิจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต.หรือนักการเมืองท้องถิ่นที่ไม่มีบอดี้การ์ดคุ้มกัน ซึ่งจุดที่ดักยิงนั้นมักเป็นบริเวณหน้าปากซอยเข้าบ้าน หน้าสำนักงาน และจุดที่รถของเหยื่อขับไปติดไฟแดง ส่วนพาหนะที่มือปืนใช้มักเป็นรถจักรยานยนต์เพราะมีความคล่องตัวสูง
      
       การยิงถล่ม เป็นวิธีการสังหารที่หวังผลสัมฤทธิ์สูง แม้จะเสี่ยงแต่ค่าตอบแทนก็คุ้มค่า อาวุธที่ใช้มักเป็นอาวุธสงครามซึ่งมีอานุภาพร้ายแรง เช่น ปืน M16 ปืนอาก้า และ M79 (ปืนยิงระเบิด) หรืออย่างเบาที่สุดก็เป็นปืนลูกซอง 5 นัด โดยระยะการยิงจะอยู่ที่ 5-10 เมตร ซึ่งการทำงานลักษณะนี้นั้นมือปืนจะไม่ไปคนเดียว คนเหนี่ยวไกต้องมีไม่น้อยกว่า 2 คน ใช้อาวุธอย่างน้อย 2-4 กระบอก เพื่อยิงซ้ำและเอาไว้ป้องกันตัว
      
       ลักษณะของการยิงจะยิงถล่มเป็นชุด โดยมือยิงคนแรกซึ่งเป็นมือสังหารที่แม่นยำที่สุดในกลุ่ม จะเลือกยิงเหยื่อที่เป็นเป้าหมายในการสังหาร ไม่ต่ำกว่า 15-20 นัด โดยก่อนลงมือจะต้องหาข้อมูลของเป้าหมายโดยละเอียด เช่น ไปไหนเวลาใด ปกตินั่งตรงจุดไหนของรถยนต์ เพื่อที่จะได้ไม่พลาดเป้า ส่วนมือปืนคนที่ 2 จะใช้กระสุน 10-15 นัด ยิงถล่มกลุ่มผู้ติดตาม เพื่อขู่และไม่ให้มีโอกาสตอบโต้ แต่ไม่ได้ต้องการให้เสียชีวิต ทั้งนี้บางกรณีก็อาจยิงถล่มกันเฉียดร้อยนัด อย่างในกรณีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯที่ถูกระดมยิงด้วย อาก้า M16 HK (ปืนกลยาว) และ M79 บริเวณสี่แยกบางขุนพรหมมากกว่าร้อยนัด เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมา
      
       สำหรับแผนการยิงถล่มนั้น ส่วนใหญ่ทีมที่รับงานจะมีอย่างน้อย 3 คน คือมือปืน 2 คน และคนขับรถ 1 คน พาหนะที่ใช้มักเป็นรถกระบะโดยจุดที่นิยมยิงถล่มเหยื่อมากที่สุดคือบริเวณทางแยก ไม่ว่าจะเป็นแยกไฟแดงหรือแยกทางเข้าบ้านเพราะง่ายต่อการหลบหนี ซึ่งบุคคลที่อยู่ในระดับที่ต้องยิงถล่มนั้นต้องเป็นระดับ ส.ส. ผู้มีอิทธิพล หรือบุคคลสำคัญ เนื่องจากบุคลคลเหล่านี้มักมีบอดี้การ์ดติดตามเพราะรู้อยู่แล้วว่ามีอันตรายอยู่รอบด้าน เช่น กรณีนายแคล้ว ธนิกุล อดีตผู้กว้างขวางของเมืองไทย ซึ่งถูกยิงถล่มจนร่างแหลกเละเมื่อปี 2534 , นางกอบกุล นบอมรบดี ส.ส.ไทยรักไทย จ.ราชบุรี ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อปี 2549
      
       การซุ่มยิง คือการลอบยิงระยะไกล ตั้งแต่ 50 เมตรขึ้นไป บางกรณีเหยื่อกับมือปืนอาจอยู่ไกลกันหลายร้อยเมตร มือสังหารจึงต้องเป็น ‘มือแม่นปืน’ เบอร์ต้นๆ ของวงการเลยทีเดียว ส่วนอาวุธที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นปืนยาวติดกล้อง ขนาด .22 ซึ่งถือว่าใช้กันค่อนข้างมากเนื่องจากมีราคาถูกที่สุดในกลุ่มปืน ‘ไรเฟิล’ คืออยู่ที่ประมาณกระบอกละ 20,000 บาท โดยเฉพาะยี่ห้อ CZ ขนาด .22 ซึ่งมีระยะหวังผลอยู่ที่ 50-70 เมตร อีกรุ่นที่นิยมคือ ไรเฟิล ขนาด .223 ซึ่งเป็นปืนที่หน่วยคอมมานโดของตำรวจ และ หน่วยรบพิเศษของทหารนิยมใช้ เป็นปืนที่หวังผลระยะไกลถึง 300-400 เมตร ราคาตั้งแต่ 60,000 ถึงหลักแสน นอกจากนั้นยังมี ไรเฟิล ขนาด 308 ระยะหวังผลอยู่ระหว่าง 800-1,000 เมตร แต่ราคาค่อนข้างสูงคือตั้งแต่ 60,000 บาท ไปจนถึงหลายแสน มือปืนในเมืองไทยจึงไม่ค่อยนิยมใช้ นอกจากจะเป็นมือปืนในเครื่องแบบ
      
       สำหรับเป้าหมายต้องเป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศ เช่น นายทหารระดับสูง หรือนักการเมืองระดับรัฐมนตรีเบอร์ต้นๆ อย่างไรก็ดี การยิงแบบซุ่มยิงนี้ไม่เป็นที่นิยมนักเพราะเป็นงานยาก และอาวุธที่ใช้มีราคาสูง คืออยู่ที่กระบอกละ 20,000-200,000 บาท อีกทั้งยังพกพาลำบากและยากต่อการหลบ

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์