ผบ.ทบ.ยันส่งทหารลงอีสานทำความเข้าใจสลายม็อบ

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวที่กองบัญชาการทหารบก เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม

ถึงกรณี พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ภาคอีสาน เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า สิ่งที่กองทัพกังวลคือ ความไม่เข้าใจของกระแสข่าวลือที่เกิดขึ้น เมื่อออกไปไกลจากศูนย์กลางของประเทศ คือจากกรุงเทพฯ กระแสข่าวต่างๆ จะผิดเพี้ยนไปและไม่ถูกต้อง ความไม่เข้าใจของคนจะนำมาซึ่งความขัดข้องทางจิตใจ และเกิดปัญหาขึ้นมาในการแสดงออกทางการเมือง จะทำให้เกิดความไม่เรียบร้อย กองทัพบกจะชี้แจงให้ฟังว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นมาอย่างไร และเราปฏิบัติอย่างไร โดยให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นระดับของฝ่ายเสนาธิการหรือฝ่ายผู้ปฏิบัติ หรือพลทหารที่อยู่ในพื้นที่ไปเรียนชี้แจงให้กับประชาชน หรือผู้นำท้องถิ่นเข้าใจ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องว่ากองทัพได้ดำเนินการไปอย่างไร ส่วนคนที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่กองทัพชี้แจงก็ไม่เป็นไร เพราะจิตใจเรื่องความเข้าใจเราไปบังคับใครไม่ได้ แต่จะเอาความจริงไปชี้แจงให้ฟัง คงจะได้ผลในส่วนที่คนเข้าใจ ส่วนที่คนพยายามจะไม่เข้าใจคงจะมีช่องที่ได้พูดคุยกับเรา ตนไม่ถือว่า เสียโอกาส และถือเป็นสิ่งที่ดี


เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้แนวทางของกลุ่มคอมมิวนิสต์เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า แนวคิดนี้จะมีหรือไม่ยังไม่มีใครไปอนุมานได้

ตนก็อนุมานไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร แต่บ้านเมืองเรามีเสรีจะคิดจะทำอะไรก็ได้แต่จะต้องอยู่ในความสงบเรียบร้อย และไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาอะไร แต่ถ้าถามว่าแนวคิดดังกล่าวจะกลับมาได้หรือไม่ กระแสสังคมในตอนนี้ไม่น่าจะได้


พล.อ.อนุพงษ์กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งให้ ผบ.เหล่าทัพ

จัดสัมมนาเกี่ยวกับการหาข้อผิดพลาดในการสลายการชุมนุมให้เป็นหลักสากลว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่การสลายการชุมนุม แต่ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย ซึ่งจุดที่ไปดำเนินการเป็นจุดที่ปิดกั้นการจราจรทำให้ประชาชนเดือดร้อนซึ่งผู้ที่ชุมนุมโดยสงบที่ทำเนียบรัฐบาลไม่ได้ถูกสลาย ขอเรียนว่า เข้าไปเพื่อดำเนินการให้เกิดความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ จะเห็นว่าเมื่อทหารลงไปปฏิบัติจะไม่มีอุปกรณ์ ซึ่งใช้ทหารดูแลความสงบ 49 กองพัน เรามีเครื่องอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับปราบจลาจล 6 กองร้อย หรือ 3 กองพันเท่านั้น ที่เหลือไม่มีอุปกรณ์ ดังนั้น ผู้ใหญ่จึงคิดว่าหากบ้านเมืองจำเป็นต้องใช้ทหารดูแลความสงบเรียบร้อยจะต้องมีเครื่องมือที่มากเพียงพอ และมีมาตรการที่เหมาะสม มิเช่นนั้นจะเกิดความสุ่มเสี่ยงและเสียหายต่อสังคมเรา


"สถาบันทหารถือเป็นสถาบันหลักของประเทศชาติ จึงไม่สามารถจะไปทำอะไรในลักษณะที่เป็นการเข่นฆ่าประชาชน หรือทำร้ายประชาชนได้ แต่การที่ไม่มีเครื่องมือ และใช้อาวุธประจำกายในยามปกติของทหารจะเป็นการไม่ยอมรับของสังคม หรือภาพที่ออกไปทั่วโลก ซึ่งจะเห็นจากบทเรียนว่าไม่ว่าจะเอาทหารลงไปและจะไปทำอะไรได้ทุกอย่าง เครื่องมือที่จำเป็น เช่น รถฉีดน้ำอย่างพอเพียง ส่วนที่จะต้องมีปืนยิงกระสุนยาง โล่ กระบอง และหน้ากากป้องกันมากกว่านี้หรือไม่ จะต้องไปพิจารณาในส่วนนั้น"



ผู้สื่อข่าวถามว่า การสัมมนาของเหล่าทัพ จะเป็นการทำงานซ้ำซ้อนกับตำรวจหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ถ้าจะมองว่า ซ้ำซ้อนก็ซ้ำซ้อน ถ้าตำรวจทำงานได้พอเพียงทำได้เลย

แต่ตนรับรองได้ว่า ถ้าเอาตำรวจที่โรงพักไปตั้งเป็น 1 กองร้อยปราบจลาจลก็จะต้องมีทุกโรงพัก ซึ่งจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานตามปกติ และโรงพักมีเจ้าหน้าที่เพียง 50-100 คน รวมถึงไม่มีกำลังไปปราบสลายฝูงชนได้ ถ้าตำรวจจะตั้งก็ได้ ก็ตั้งไว้ที่ตำรวจ และไม่ต้องมีทหารไปทำหน้าที่นี้ แต่หากไม่ใช่ก็จะต้องตั้งไว้เพื่อเตรียมความพร้อมตามทุกโรงพักที่จะต้องมี โรงพักละ 1 กองร้อย ส่วนการจัดตั้งยุทโธปกรณ์ ผบ.เหล่าทัพได้หารือกันว่าจะใช้แนวทางอย่างไร ถ้ามั่นใจว่าประเทศไทยจะต้องมีเหตุการณ์เช่นนั้น และต้องใช้ทหารเช่นนี้ จะต้องคิดว่าต้องมีการเตรียมการอย่างไร ไม่ใช่ให้เอาทหารออกไปทำในลักษณะที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงที่ใช้อาวุธสงคราม ในส่วนของกฎหมาย ด้านความมั่นคงได้หารือกัน โดยมีความเห็นในแนวทางเดียวกัน แต่ยังไม่มีข้อยุติที่จะไปปฏิบัติได้ว่า จะมีกฎหมายเป็นกรอบในการที่จะใช้แสดงความคิดเห็นทางการเมือง เหมือนนานาอารยประเทศ หากสิ่งใดที่ทำไม่ได้ และถ้าเกินขีด ทางเจ้าหน้าที่จะทำได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร จึงน่าจะต้องมีกฎหมายในทุกๆ เรื่อง

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์