กระทู้ เตือนสติคนไทยฯ + การเป็นคนดีฯ [ 12 เม.ย.52 ]

บทความของ  รอง ผบ.กกล.นเรศวร

 “…เตือนสติคนไทย  รู้เท่าทัน  มูลเหตุแห่งวิวาท…”  

                “…มูลเหตุแห่งวิวาทมี ๖ อย่าง  คือ  ความเป็นผู้มักโกรธ มีความผูกโกรธ    ๑ ความลบหลู่  ตีเสมอ ๑ ความริษยา ในสักการะเป็นต้นของผู้อื่น และความตระหนี่  ๑  ความเป็นผู้โอ้อวด  เจ้าเล่ห์  ปกปิด ความชั่วที่ตนทำ    ๑  ความเป็นผู้มีความปรารถนาลามก     เป็นผู้ทุศีลปรารถนาความยกย่องที่ตนไม่มี เป็นความเห็นผิด  ๑  และ ความเป็นผู้ถือมั่นทิฏฐิของตน    ๑ เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว  ทำให้แบ่งชนเป็น ๒ ฝ่าย    ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก   เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนเป็นอันมาก   เพื่อความพินาศแก่ชนเป็นอันมาก  เพื่อความไม่เป็นประโยชน์   เพื่อความทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย   ทำให้ไปอบายได้ในที่สุด  ดังเรื่องที่มีแล้วในครั้งพุทธกาล

 

                ( จากพระสุตตันตปิฎก  ขุททกนิกาย  ปฏิสัมภิทามรรค )   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสมูลเหตุ
แห่งวิวาท ๖ อย่าง    ๖ อย่าง เป็นไฉน ?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในศาสนานี้  เป็นผู้มักโกรธ  มีความผูกโกรธไว้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    ภิกษุใดเป็นผู้มักโกรธ   ผูกโกรธไว้

              ภิกษุนั้น  ไม่เคารพ  ไม่ยำเกรง   แม้ในพระศาสดา  

ไม่ทำให้บริบูรณ์  แม้ในพระธรรม  แม้ในพระสงฆ์(หมู่คณะ)  แม้ในสิกขา (การศึกษาคำสอน)

              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุใดไม่เคารพ ไม่ยำเกรง  ในพระศาสดา

              ไม่ทำให้บริบูรณ์  ในพระธรรม   ในพระสงฆ์   ในสิกขา

ภิกษุนั้นย่อมยังวิวาท ให้เกิดในสงฆ์

วิวาทย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก  

เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนเป็นอันมาก

เพื่อความพินาศแก่ชนเป็นอันมาก  

เพื่อความไม่เป็นประโยชน์  

เพื่อความทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ข้ออื่นยังมีอีก    ภิกษุเป็นผู้มีความลบหลู่  ตีเสมอ

 เป็นผู้มีความริษยา (ริษยา ในสักการะ เป็นต้นของผู้อื่น)    ความตระหนี่

 เป็นผู้โอ้อวด   เจ้าเล่ห์ (ปกปิดความชั่วที่ตนทำ)   

 เป็นผู้มีความปรารถนาลามก (เป็นผู้ทุศีลปรารถนาความยกย่องที่ตนไม่มี)  เป็นมิจฉาทิฏฐิ

 เป็นผู้ถือมั่นทิฏฐิของตน  มีการสละได้ยาก

 

 

              ตัวอย่างที่เคยมีแล้วในครั้งพุทธกาล  การวิวาทของภิกษุ  ๒  รูป  ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์  เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เป็นอย่างไร คือ เมื่อภิกษุ ๒ รูปวิวาทกัน อันเตวาสิก (ลูกศิษย์) ของภิกษุ ๒ รูปเหล่านั้น  ในวัดนั้นก็วิวาทกัน  ภิกษุสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์  ผู้รับ-โอวาทของภิกษุ ๒ รูปนั้นก็วิวาทกัน   แต่นั้นอุปัฏฐาก(ผู้บำรุง)ของภิกษุ ๒ รูป เหล่านั้นก็วิวาทกัน  ครั้นแล้วเทวดาผู้อารักขามนุษย์ทั้งหลายก็แบ่งเป็น ๒ พวก  เทวดาผู้อารักขาธรรมวาที  ก็เป็นพวกธรรมวาที เทวดาที่อารักขาอธรรมวาที  ก็เป็นพวกอธรรมวาที  แต่นั้นภุมมเทวดาผู้เป็นมิตรของ อารักขเทวดาก็แตกกัน เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย (เว้นเฉพาะพระอริยสาวกเท่านั้น) แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย  โดยต่อ ๆ กันอย่างนี้ จนถึงพรหมโลก  อธรรมวาทีมากว่าธรรมวาที  แต่นั้นสิ่งที่พวกมากถือเอาจึงเป็นสัจจะ  เพราะเหตุนั้น พวกมากกว่าจึงพากันสละธรรม  ถือเอาอธรรม  พวกอธรรมวาทีเหล่านั้นยึดอธรรมเป็นหลัก  ย่อมเกิดในอบาย  การวิวาทของภิกษุ  ๒ รูปอย่างนี้  ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

 

* * * * * * * * * * * * * * * * *

 

พระราชดำรัส ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

“… การเป็นคนดี   ทำให้มีความสุข …”

                พระราชดำรัส  พระราชทานแก่นักศึกษา  พ่อค้า  ประชาชน  องค์กรต่างๆ   

เมื่อวันที่  ๔  ธันวาคม  ๒๕๑๘

 

                “…ต้องการมีความสุขความสบาย   เราจึงต้องปฏิบัติในสิ่งที่จะทำให้มีความสุขความสบาย    คือ   สะสมความดี   สะสมบารมี…”

 

* * * * * * * * * * * * * * * * *

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์