สุขุมพันธุ์หวั่นรบ.ไม่มีเงิน-เปลี่ยนกทม.หันพึ่งตนเอง

ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ (มหานาค) เมื่อวันที่ 30 มี.ค. กรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมกับ สถาบันพัฒนาสยาม จัดประชุมวิชาการเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจโลกกับ กทม. โดยมี ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานเปิดการประชุมและ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ว่า

รายได้ของ กทม.เป็น 1 ใน 4 ของรายได้ของระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งปี 2547 ตัวเลขจีดีพี ( GDP) อยู่ที่ 6.3 ปี 2548 จีดีพี อยู่ที่ 3.9 ปี 2549 จีดีพี อยู่ที่ 1.5 และปี 2550 จีดีพี ติดลบที่ 2.5 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเลข จีดีพี ในกทม.ลดลงตามลำดับซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกโลกกำลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และส่งผลให้เกิดการว่างงาน ซึ่งตัวเลขของผู้ว่างงานทั่วประเทศอยู่ที่ 5.2 แสนคน คิดเป็นสัดส่วนในกทม. 9 หมื่นคน แต่หากทั่วประเทศว่างงาน 8 แสนคน กทม.จะมีคนว่างงานอย่างน้อย 1.6 แสนคน 

ดังนั้นจะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของกทม.มีเงินหมุนเวียนในระบบน้อยลง กระทรวงแรงงานต้องเข้ามาดูแล อีกทั้งเงินรายได้ที่มาจากการท่องเที่ยวก็จะลดลงเช่นกันซึ่งจากสถิติปี 2550 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 3.3 แสนล้านบาท เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นในกทม.1.8 แสนล้านบาท  แต่เมื่อเกิดวิกฤติเช่นนี้นักท่องเที่ยวหายไป เนื่องจากส่วนใหญ่มาจากประเทศที่กำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจซึ่งหากนักท่องเที่ยวลงลด 10 % จากจำนวน 11 ล้านคน  เท่ากับว่ารายได้หายไป 1.5 หมื่นล้านบาท และถ้า 20 % รายได้จะหายไปถึง 3 หมื่นล้านบาท

 
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า
 
นอกจากนี้ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลก็มีปัญหาเพราะจัดเก็บได้น้อยลงทำให้กทม.ต้องนำเงินสะสมออกมาใช้จ่ายเดือนละ 1,000 ล้านบาท  อย่างไรก็ตาม การหาแหล่งรายได้อื่นๆ โดยกทม.กำลังพิจารณาจัดเก็บภาษีน้ำมันลิตรละ 5 สตางค์ ซึ่งจะทำให้กทม.มีรายได้จาการสามารถจัดเก็บได้ปีละ 500 ล้านบาท ทั้งนี้ที่ผ่านมากทม.ไม่ได้จัดเก็บรายได้ในส่วนนี้ ขณะที่จังหวัดอื่นๆมีการจัดเก็บลิตรละ 10 สตางค์ แต่ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบอีกครั้งโดยจะดูถึงส่วนต่างของราคาน้ำมันในเขตกทม.กับปริมณฑล หากแตกต่างกันมากก็พิจารณาในการจัดเก็บ โดยเรื่องนี้จะต้องมียกร่างเรื่องดังกล่าว เสนอสภา กทม.ให้ความเห็นชอบ นอกจากนี้ยังรวมถึงการจัดเก็บภาษีเหล้า บุหรี่ และโรงแรม ซึ่งกำลังมีการยกร่างเพื่อแก้ไขพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ที่มีนายจรัส สุวรรณมาลา คณะบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานยกร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่

 
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวอีกว่า 

อย่างไรก็ตาม ตนได้ทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณกทม.ปี 2552 ซึ่งแต่เดิมเบิกจ่ายได้ 15 % แต่เมื่อตนเข้ามาเป็นผู้ว่าฯกทม.สามารถเบิกจ่ายได้แล้ว 30 % แม้จะเป็นตัวเลขที่สูงแต่ก็ยังไม่สบายใจเพราะอยากให้เบิกจ่ายมากกว่านี้

 
“การที่รัฐบาลออกมายอมรับว่าอัตราการขยายเศรษฐกิจติดลบ 3 % ถือว่าเป็นเรื่องดีเพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้เตรียมมาตรการไว้รองรับ ทั้งนี้ ตนมีความเป็นห่วงว่ารัฐบาลจะไม่มีเงินมาสนับสนุนการดำเนินภารกิจต่างๆของกทม.หากเศรษฐกิจยังเป็นเช่นนี้ เพราะโครงการต่างๆ อาทิ เตาเผาขยะ การก่อสร้างถนน จำเป็นต้องได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลทั้งสิ้น” ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ กล่าว
 
ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวต่อว่า
 
ทั้งนี้กทม.กำลังยกร่างแผนการท่องเที่ยว 1 ปี เพื่อให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยว ในกทม.อีกครั้ง โดยจะส่งเสริมให้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีราคาสูงในพื้นที่ด้านตะวันออกของ กทม. โดยเฉพาะในเขตหนองจอก ซึ่งขณะนี้มีบริษัทเอกชนรายใหญ่ได้ส่งเสริมให้ปลูกเมลอน (Melon) ในพื้นที่ โดยรายได้อยู่ที่ 2.4 แสนบาทต่อไร่ และสามารถปลูกได้ปีละ 3 ครั้ง ซึ่งจะเห็นว่ารายได้จากการปลูกเมลอนมีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าข้าวอย่างมากด้วย

 
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวต่อว่า

แม้มาตรการเหล่านี้ จะไม่ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยดีขึ้น แต่ยามนี้ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ และสิ่งที่กทม.ดำเนินการจะช่วยแบ่งเบาความทุกข์เพิ่มความสุขส่วนรวมให้กับพี่น้องชาวกทม.

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์