วิวาทะ จตุพร - อภิสิทธิ์ ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวในการการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี

เมื่อเวลาประมาณ 13.17 น. วันที่ 19 มี.ค. ว่า รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นได้มากจากการขบวนการพิเศษไม่ได้มาจากประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ และยังแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งนายกษิตเป็นผู้ต้องหาในการบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิร่วมกับกลุ่มพันธมิตร และยังเป็นผู้ที่มีความขัดแย้งกับทางกัมพูชาในเรื่องการเสียดินแดนประสาทพระวิหาร
 

สำหรับประเด็นการร้องทุกข์ของกองกำลังทหารสุรนารีว่าได้ทำหนังสือไปถึงนายกษิต ภิรมย์ (รมว.ต่างประเทศ) ถึง 9 ครั้ง

ปรากฎว่าไม่สามารถแก้ไขการเสียดินในเขตพื้นที่ซับซ้อนที่มีอยู่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่ทางกัมพูชาตัดเข้ามาถึง 2.5 ตารางกิโลเมตร ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไปแต่งตั้งบุคคลที่มีปัญหากับกัมพูชามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
 

ส่วนประเด็นนายอภิสิทธิ์ยังได้หนีการเกณฑ์ทหาร โดยไม่เข้ารับการตรวจเลือกตั้งแต่ปี 2530 - 2536 จนกระทั่งอายุครบ 29 ปี

ไม่ทราบว่า มีผู้ใหญ่ที่สนิทกับอดีตผู้นำคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) คนหนึ่ง อาจแนะนำให้นายอภิสิทธิ์ใช้ช่องนี้ ขอรับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย สอนระดับชั้น ม.1 แต่ปรากฎว่าการการที่พลเรือนชายไทย จะเข้ารับราชการในโรงเรียนนายร้อย จะต้องแสดงหลักฐานสำคัญทางการทหาร แต่นายอภิสิทธิ์ไปขอใบสำคัญทางการทหารจากสัสดีใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานเท็จ นายอภิสิทธิ์ จึงไม่มีสิทธิ์เข้ารับราชการ

 
"ผมยังไปจับเลย ขนาดเป็นครูดอยลงมา ลุ้นจะตาย เพราะเรารู้เราเป็นดี1 ประเภท 1 กะเทยยังไปจับเลย เป็นหน้าที่ของชายไทยในการรับใช้ชาติ แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นใคร จึงไม่ได้ไปใช้สิทธิ์จับใบดำใบแดง" ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าว "ทุกคนที่เป็นนายกฯ ที่มียศ เขาจะใช้ยศ และจะพูดถึงยศด้วยความภูมิใจ แต่มีท่านคนเดียว สิ่งที่บอกเบื้องลึกของท่าน เพราะการใช้ สด.9 ออกเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดง สด.43 เป็นการหลีกเลี่ยงแผลในใจ ท่านจึงไม่ใช้ยศว่าที่ร.ต." นายจตุพร กล่าว
 
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงหลังจากที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวในการการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่า 3 ประเด็นที่พาดพิงมาถึงตนจะขอชี้แจงว่า

1.สนามบิน ที่ระบุว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) พยายามตรากฎหมายที่ผลไปลดโทษผู้ที่ทำผิดกฎหมายก่อนหน้านี้ ยืนยันว่า ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ได้เพิ่มการปกป้องพื้นที่สำคัญ คือ มาตรการฝ่ายบริหาร เช่น การจัดตั้งจุดตรวจ ในพื้นที่เข้าออกสนามบิน ให้อำนาจหน้าที่ส่วนของท่าอากาศยานหรือตำรวจ โดยกำหนดให้เพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ ซึ่งส่งให้สำนักงานกฤษฎีกาลงรายละเอียด แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร กฎหมายใหม่ จะไม่มีผลต่อกฎหมายเดิม ดังนั้น ถ้าใครทำผิดก็จะผิดเพิ่มถ้ามีกฎหมายใหม่ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะท่านไม่เข้าใจหรือต้องการให้คนอื่นเข้าใจผิด

 
"ส่วนเรื่องของประวัติ ที่จริงถ้าไม่มีอคติต่อกัน การสอบถามข้อเท็จจริงสามารถทำได้ ใช้สามัญสำนึกได้ ผมลงสมัครครั้งแรก ก็มีกฎหมายบอกว่าใครจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองต้องมีระเบียบอย่างไร ทั้งกรมการปกครองหรือกระทรวงมหาดไทย ก็สามารถพิจารณาว่าใครสมัครได้ ผมรับราชการอยู่มีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยสิ้นปี 2534 มีรสช. มีการร่างรัฐธรรมนูญ จัดให้มีการเลือกตั้ง จึงลาออกเข้ามาเป็นสมาชิกตั้งแต่ปี 2535 โดยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และได้รับบัตรสมาชิก มีรูปของผม เลขที่ ชื่อ ที่อยู่ ขณะนั้นอยู่ที่ซอยสวนพลู มีการลงไว้ชัดเจน" นายอภิสิทธิ์ กล่าวและว่า เมื่อวันที่ 15 ม.ค.2535 ออกบัตร โดยนายชวน หลีกภัย ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค ตอนที่จัดทำฐานข้อมูลใหม่ในคอมพิวเตอร์คงมีการพิมพ์ผิดไปเป็นเดือน มิ.ย.แต่ตนก็คิดว่าท่านจะไม่เชื่อ จึงให้พรรคไปค้นโกดังมา โดยในสมุดบัญชีขณะสมัครสมาชิกพรรคตนเป็นชื่อที่ 2 ของผู้สมัคร แต่เรื่องนี้ขอยกประโยชน์ให้ เพราะว่าได้ข้อมูลมาจากคอมพิวเตอร์ จึงไม่เข้าใจว่าจะหยิบยกเรื่องนี้มาให้เสียเวลาสภาฯทำไม
 

สำหรับเรื่องการรับราชการทหาร นายอภิสิทธิ์ กล่าว ตนทราบดีว่าชายไทยมีหน้าที่ต้องรับราชการทหาร โดยตนไปศึกษาต่อต่างประเทศอายุ 11 จนจบปริญญาตรี 2529

คือ อายุประมาณ 23 ปี โดยการรับราชการทหารต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว คือ การเกณฑ์ทหาร ตนเชื่อว่าในสภาฯ ก็มีที่ไม่ได้รับการเกณฑ์ ทั้งที่เรียน รด. การรับราชการทหาร ทั้งนี้ ช่วงกลางปี 2529 ตนเดินทางกลับมาจากเรียนจบ ทาง กพ.ก็มีการผ่อนผัน ตนได้ขึ้นทะเบียนในเดือน ก.ค. 2529 และมีต้นขั้ว ส่วนที่ล่าช้าก็เกิดขึ้นกันหลายคน โดยวันที่กลับมา ก็คิดว่าจะช่วยเหลือชาติ จะรับราชการทหาร จึงมีความคิดสมัคร ตนมีความคิดเรื่องการศึกษาต่อด้วย ทางมหาวิทยาลัยเองก็มีความประสงค์ให้กลับไปเรียนต่อ แต่ก็ไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่

 
นอกจากนี้ ช่วงปลายปี 2530-2532 ได้ผ่อนผัน ด้วยเหตุผลว่ามีความต้องการไปศึกษาต่อ ช่วงนี้ผ่อนผันอยู่ก็สมัครเข้าไป

ช่วงแรกก็เข้าเป็นเป็น ข้าราชการกลาโหม โดยข้าราชการทหารก็หมายถึงข้าราชการกลาโหมพลเรือนด้วย และกลางปี 2530 ก็เริ่มรับราชการทหาร การสอนที่ ร.ร.นายร้อย แต่ไม่มียศ เพราะยังไม่ได้ผ่านการฝึก แต่จะมีการจัดหลักสูตร มีเป็นรอบๆ เหมือนฝึกอบรม ก็ต้องรอเป็นรุ่น เป็นหลักสูตร ฝึกเหมือน รด. โดยฝึกต่อเนื่อง ช่วงแรกบริเวณถนนวิภาวดี จากนั้นก็ที่เขาชนไก่ ตนก็มีรูปร่วมกับเพื่อนๆ ไม่ได้มีอะไรลึกลับซับซ้อน

 
"เมื่อตอนเป็นฝ่ายค้าน ตนพาคณะเดินทางไปเยี่ยม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เจอทหารเยอะที่วิ่งมาหาว่าเป็นลูกศิษย์ จะบอกว่าไม่มีไม่ได้ เพราะก่อนหน้านั้นเคยอ่านเจอในเว็บไซต์ของกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองว่า ลูกศิษย์พยายามปฏิวัติให้เป็นนายกฯ" นายอภิสิทธิ์ กล่าวและว่า เมื่อปี 2531 พอฝึกเสร็จ ก็ขอพระราชทานยศ ได้ขอเอกสารหลักฐาน รวมทั้ง สด 9 ที่ทำหาย ก็ขอใบแทน และได้เป็นว่าที่ ร.ต. และ ร.ต. จากนั้น ปลายปี 2531 ทางมหาวิทยาลัยประสานมา จึงตัดสินใจไปเรียนต่อ ทำเรื่องลาไปปฏิบัติภารกิจและได้รับอนุมัติให้ลาออก ถูกต้องทุกประการ สุดท้ายทำหน้าที่ในการรับราชหารหรือยังนั้น การรับราชการทหารตามระเบียบ ตามวุฒิ 1 ปี ตนทำเกิน 1 ปีแน่นอน ทำถูกตามกฎหมาย ไม่ได้ขาดคุณธรรม จริยธรรม หรือสร้างมาตรฐานใหม่ให้ประเทศไทย ทุกเรื่องไม่มี 2 มาตรฐาน และพร้อมชี้แจงหากมีข้อสงสัย
 
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวด้วยว่า "ความหวาดกลัวกองทัพ เป็นเรื่องไร้สาระ ผมไม่กลัว ผมก็ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าเรื่องภาคใต้ กองทัพ หลายปีที่ผ่านมา ผมเป็นนายกฯคนเดียวที่บอกว่า ถ้าคนของกองทัพทำผิดต้องรับโทษ เช่นเรื่องโรฮิงญา ผมพูดอย่างนี้ได้รับการขานรับจากผู้บัญชาการทหารบกอย่างดี"
 
เมื่อเวลา 14.45 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายต่อหลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ลุกขึ้นชี้แจง ว่า ใช้หลักฐานอะไรในการเข้าไปเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อย จปร.

จนกระทั่งได้รับการบรรจุในวันที่ 7 ส.ค. 2530 หลังจากหนีการเกณฑ์ทหารใน 7 เม.ย.2530 เพราะว่าเอกสารที่หลักฐานที่ผู้สมัครต้องนำมาประกอบเข้ารับราชการนั้น ในข้อ 11นั้นต้องเป็น สด.9 หรือสมุดทหารกองเกิน สด.8 หลักฐานการผ่อนผันการตรวจเลือก สด.43 เพราะสารภาพกลางสภาเองว่า ได้รับการบรรจุในวันที่ 7 ส.ค.2530 ไม่ได้ให้สด.9 ไปแสดง แล้วไปเป็นทหารได้อย่างไร มีเอกสารแสดง 16 รายการ


ประเด็นต่อมา ปี2530 นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เข้ารับการตรวจเลือก เป็นบัญชีของสัสดีเขตพระขโนง และเหตุที่ได้ยกเว้นการผ่อนผันเพราะว่าได้เข้าทะเบียนในทหารกองเกินในวันที่ 4 ก.ค.2529

สัสดีจึงกำหนดให้มีการเกณฑ์ทหารในวันที่ 7 เม.ย.2530 ปรากฏว่าปี 2530 อยู่ในฐานะพ้นจากฐานะยกเว้นการผ่อนผันแล้ว จะมากล่าวอ้างไม่ได้ หากผ่อนผันจริงทำไมปี 2531 ตรวจไม่พบรายชื่อ แต่ปี 2532 อยู่ในบัญชีคนขาด แขวงคลองตัน ลำดับ 148 ปี 2533 อยู่ในบัญชีคนขาด แขวงคลองตัน ลำดับ 417 ปี 2534 อยู่ในบัญชีคนขาด ลำดับ 635 ปี 2535 อยู่ในบัญชีคนขาด ลำดับ 641และในปี 236 ท่านก็อายุครบ 29 ปี


"ผมไม่ได้กล่าวหานายอภิสิทธิ์โดยปราศจากหลักฐาน เพราะผลการสอบของกองทัพ รวมกระทั่งรายละเอียดต่างๆ ที่ทหารได้ตรวจสอบ ท่านไม่มีสิทธิที่จะได้รับการบรรจุในวันที่ 7 ส.ค.2530 เพราะก็ยอมรับแล้วว่าไม่มีสด.9 เพราะมันหาย ไปขอในวันที่ 8 เม.ย. 2531ฉะนั้น 7 ส.ค.2530 ท่านไม่มีเอกสารสำคัญใดๆ ไปแสดงต่อกองทัพเลย แสดงว่าเข้าไป 7 ส.ค.ไม่มีอะไรเลย แต่เจตนาที่ว่ามีเจตนาซ่อนเร้น ก็คือ ไม่รู้หรือว่าเมื่อเข้าไป 7 เม.ย.2531เป็นการเกณฑ์ทหารในปีถัดมา รอให้เกณฑ์ทหารเสร็จหลังจากหนีทหารปี 2530 แล้วก็มาบอกว่าเข้าทหารกองเกิน 8 เม.ย.2531 และสัสดีพระขโนงจะต้องระบุว่าเข้ารับราชการทหาร 4 ก.ค.2529 ท่านจะอธิบายอย่างไร นี่เป็นเหตุให้โรงเรียนนายร้อย จปร.หลงเชื่อ จึงขอพระราชทานยศว่าที่ร้อยตรีให้ ผมต้องการให้นายกฯ ควรจะพูดความจริงต่อสภา"

ด้านนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นแจงต่อว่า ไม่แน่ใจว่าเป็นปัญหาที่การฟังหรือการทำความเข้าใจ ตนไม่เคยพูดว่าสมัครเข้าไปโดยไม่มี สด.9

ตนบอกว่าตอนสมัครที่เรียกร้องจากโรงเรียนนายร้อย จปร. เพิ่มเติมนั้น คือหลักฐานการผ่อนผัน ก็สันนิษฐานว่าในกระบวนการภายในพอพบหนังสือผ่อนผัน กับสด.9 ก็บรรจุให้ ส่วนสด.9ที่มีปัญหาหายเกิดขึ้น มันหายทีหลัง หายตอนที่จะต้องใช้อีกครั้งหนึ่งในการขอพระราชทานยศ ซึ่งก็เป็นเรื่องกระบวนการภายในของโรงเรียนนายร้อย จปร.ทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับเรื่องการกลับมาบรรจุเลย ดังนั้น ตรงนี้จึงไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ส่วนบัญชีผ่อนผันตามที่ตนพบ เป็นการผ่อนผันระหว่างปี 2530-2532 เป็นคนละเรื่องกับที่ตนไปศึกษายังต่างประเทศ ส่วนการแทงบัญชีเรื่องการขาดนั้น ตนก็ฟังมาจากเพื่อนกมธ.ทหารว่าเป็นไปได้ในส่วนของการแก้ไขไม่ได้แก้ แต่ตรงนี้เป็นหลักฐานอยู่ ซึ่งกระทรวงกลาโหมก็ยืนยันมาตามนี้

 
นายจตุพร ยังลุกขึ้นถามต่อว่า ถามนายกฯ ตรงๆ วันที่ 7 ส.ค. ที่เข้าไปเป็นอาจารย์โรงเรียนายร้อย จปร. ได้แสดงสด.9 หรือไม่ ถ้าได้แสดงสด.9 เขารับท่านเข้าไปได้อย่างไร

เพราะกลายเป็นบุคคลที่หนีการเกณฑ์ทหาร 7 เม.ย.2530 ที่บอกว่าต่อมาหายภายหลัง แสดงว่างโรงเรียนนายร้อย จปร.ทำสด.9 ท่านหายใช่หรือไม่ ทีนี้ถ้าสด.9ฉบับใบแทนออกวันที่ 8 เม.ย.2531ออกโดยสุจริตจริงก็ต้องระบุว่าเข้าบัญชีทหารกองเกิน วันที่ 4 ก.ค.2529 แต่ความที่รู้อยู่แล้วว่าถ้าใช้ใบเดิมก็ต้องตอบคำถาม 7 เม.ย.2530 จึงไปขอใบใหม่ เพื่อต้องการจะหลอกโรงเรียน จปร. ว่าจะเกณฑ์ทหารปี 7 เม.ย.2532 อีกปีหนึ่งจึงไม่แสดง สด.43 ถามเลยว่าตอนสมัครนั้น แสดงสด.9 หรือไม่ แล้วโรงเรียนนายร้อย จปร.เป็นผู้ทำหายใช่หรือไม่ แล้วการออกใบสด.9 ใบแทน แล้วลงวันผิด ทำไมคนมีความรู้อ๊อกฟอร์ดอย่างท่านไม่ทักท้วง

 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอบว่า ขอย้ำอย่างนี้วันที่สมัครเข้ารับราชการ สด.9 มี แล้วตรวจสอบได้เพราะมีต้นขั้วอยู่ ส่วนการผ่อนผันก็มีตามหลักฐานที่เอามาให้ดูวันนี้ คุณสมบัติก็ครบเวลาออกใบแทนฉบับที่ชำรุดสูญหาย ออกให้วันที่ 8 เม.ย.2531 จะให้ไปเขียนกรกฎาคม 2529 ได้อย่างไร


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์