จับปี1อุเทน-ปทุมวัน เรียนรวม แก้ปัญหานศ.ตีกัน

กรณีนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย

ก่อเหตุซ้ำซากยกพวกไล่ตีกันหน้าห้างมาบุญครอง ท่ามกลางประชาชนที่แตกตื่นหนีตายเพราะกลัวถูกลูกหลง ร้อนถึงตำรวจ สน.ปทุมวัน ต้องประสานโรงพักใกล้เคียงยกกำลังเข้าระงับเหตุ ก่อนรวบ 3 นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ที่ร่วมก่อเหตุได้ 3 คน โดยเหตุดังกล่าวมีประชาชนบาดเจ็บสาหัส 1 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บ 1 คน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด วันที่
11
ก.พ. พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน

เปิดเผยว่าหลังเกิดเหตุ จับกุมนักศึกษาที่ร่วมก่อเหตุไว้ได้
3 คน โดย 1 ในนั้นพกพาอาวุธปืนด้วย เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนเข้าไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ส่วนอีก 2 คนที่ร่วมก่อเหตุพกพาอาวุธมีด ได้แจ้งข้อหา พกพาอาวุธมีดเข้าไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ทั้งนี้ได้เปรียบเทียบปรับก่อนประสานอาจารย์ และผู้ปกครองรับตัวกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาแล้ว

ส่วนกรณีกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ระบุว่า ห้างมาบุญครอง สยามสแควร์ หรือย่านปทุมวัน เป็นจุดเสี่ยงต้องขึ้นบัญชีดำเป็นเขตพิเศษนั้น

ความเห็นส่วนตัวคิดว่ายังไม่ถึงขนาดนั้น ทุกวันนี้พยายามทุกวิถีทาง ในช่วงกว่า
2 เดือนที่มารับตำแหน่ง จัดให้มีรถสายตรวจตระเวนตลอดถนนพระราม 1 กับถนนพญาไท เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น
สำหรับบรรยากาศด้านหน้าสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ยังมีการเปิดการเรียนการสอนตามปกติ โดยมีรถของตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษตระเวนดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่เป็นระยะ

ขณะที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.กล่าวว่า มอบหมายให้ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.ไปหารือกับผู้บริหารของทั้ง 2 สถาบัน

รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว แต่การทะเลาะวิวาทระหว่างนักศึกษา
2 แห่งนี้เรื้อรังมานาน การยุติปัญหาให้ได้อย่างถาวร ต้องได้รับความร่วมมือกับอาจารย์ด้วย โดยอาจารย์ หรือสถานศึกษาต้องใช้ความเด็ดขาดจัดการเด็กที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ตรวจพบเด็กพกมีด ต้องสั่งพักการเรียน ใครพกปืน ต้องพ้นจากสถานภาพนักศึกษา นอกจากนี้ ยังสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดกำลังหมุนเวียนเข้าไปดูแลทางเข้าออกของสถาบันทั้ง 2 แห่งแล้ว ส่วนเหตุที่เกิดขึ้น ได้กำชับให้ตำรวจท้องที่ดำเนินคดีไปตามพยานหลักฐาน


ต่อมาเวลา
13.00
น. ที่โรงแรมเอเชีย นายสมเกียรติ จงประสิทธิ์พร รักษาการ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน

นายสมพงศ์ ชีไธสง คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.
6 พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน และนายโอภาส เขียววิชัย ที่ปรึกษาด้านระบบบริหาร สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) พร้อมคณะผู้บริหาร คณาจารย์ และศิษย์เก่าทั้ง 2 สถาบัน ประมาณ 40 คน เข้าร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการก่อเหตุทะเลาะวิวาทของนักศึกษา 2 สถาบัน โดยไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าร่วมสังเกตการณ์


การประชุมใช้เวลานาน 3 ชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น นายสมเกียรติ จงประสิทธิ์พร เป็นตัวแทนแถลงข่าวว่า ที่ประชุมรู้สึกวิตกกังวลกับเหตุการณ์ที่ปรากฏออกไปทางสื่อ

ต่อไปหากสื่อมวลชนจะเสนอข่าวใดๆออกไป ขอให้เห็น แก่ชื่อเสียงของทั้ง
2 สถาบันด้วย เพราะทุกครั้งสื่อมักจะนำเสนอว่าสถาบันคู่อริก่อเหตุกัน แต่ที่ผ่านมา ไม่มีการจับกุมผู้กระทำความผิดได้เลย ทำให้นักศึกษา 2 ฝ่าย รู้สึกกังวลและอาฆาตแค้น ทั้งๆที่กระทบกระทั่งกันเพียงเล็กน้อย ดังนั้น การนำเสนอข่าวต่อไป ควรเสนอข่าวต่อเมื่อได้ข่าวที่ชัดเจนก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วสถาบันทั้งสองจะเสียชื่อเสียงเป็นจำเลยของสังคม

นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า ที่ประชุมกำหนดมาตรการร่วมกันแก้ไขปัญหา
6
ข้อ

1. จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขปัญหาร่วมกัน 2. ให้คณะกรรมการประชุมและจัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อส่งเสริมความสามัคคีอย่างต่อเนื่อง โดยมี สกอ. คอยเป็นผู้ประสานงาน 3. เสนอให้ สกอ.เป็นคนกลางรับนักศึกษาร่วมกัน พร้อมจัดสถานที่เรียนให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 เรียนร่วมกันในวิชาสามัญ ก่อนแยกย้ายไปเรียนวิชาเฉพาะ ในชั้นปีที่ 2 ของแต่ละสถาบันต่อไป 4. ให้ สกอ.เป็นคนกลางจัดสัมมนาอาจารย์ทั้ง 2 สถาบันร่วมกัน 5. จัดกิจกรรมให้กับนักศึกษาปีที่ 1 ของทั้ง 2 สถาบันที่เรียนร่วมกัน ระยะยาวหวังว่า สกอ.จะเป็นเจ้าภาพในการจัดกิจกรรมรับน้องของทั้ง 2 สถาบันร่วมกัน เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ 6. ขอให้อาจารย์ทั้ง 2 สถาบัน ร่วมกันรณรงค์พัฒนาด้านความคิด และกิจกรรมนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาเป็นที่ยอมรับ โดยคาดว่าคณะกรรมการร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะสามารถตั้งได้ในสัปดาห์หน้า และมั่นใจว่าสิ่งที่คิดกันในวันนี้จะแก้ปัญหาได้

ผู้สื่อข่าวถามถึงต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร นายสมเกียรติตอบว่า เพราะสื่อเป็นต้นเหตุของปัญหา


นำเสนอแต่ความขัดแย้งของทั้ง
2 สถาบันอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ปัญหาบานปลาย ทำให้สื่อมวลชนที่ไปทำข่าว 50 กว่าคน ถึงกับโห่ขึ้นมาพร้อมกันด้วยความไม่ พอใจ ก่อนที่ พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.6 เป็นผู้ตอบ คำถามแทนว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าต้นเหตุของปัญหาเกิดจากอะไร แต่พยายามหาทางแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ หากเกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของนักศึกษา 2 สถาบันขึ้นอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงทำได้แค่เข้าไประงับเหตุ ใครกระทำความผิดก็ต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย

ระหว่างแถลงข่าว มีนายธนันภัฒน์ เลิศศิริอำนวย นางวิลาวรรณ วิเศษจารกุล และนายสุรชัย วิวัฒนเจริญชัย เจ้าของกิจการร้านเพชรมนทิรา


ตั้งอยู่ในห้างมาบุญครอง ญาตินายสุเทพ วิวัฒนเจริญชัย ผู้บาดเจ็บ เข้าร้องเรียนให้ทั้ง
2 สถาบัน รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะวันเกิดเหตุ นายสุเทพซึ่งเป็นญาติ และเป็นหัวหน้าช่างจิวเวลรี่ของร้าน ถูกลูกหลงระหว่างกลุ่มนักศึกษาทะเลาะวิวาทกัน ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหัวเฉียว จึงอยากเห็นการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่เป็นการบังคับมาจับมือ หรือมอบดอกไม้เหมือนที่ผ่านมา

จากนั้นผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ห้องเลขที่ 20/3 โรงพยาบาลหัวเฉียว เพื่อดูอาการนายสุเทพ วิวัฒนเจริญชัย อายุ 33 ปี

ซึ่งบาดเจ็บที่ศีรษะจากเหตุทะเลาะวิวาทของนักศึกษาทั้ง
2 กลุ่ม โดยนายสุเทพกล่าวว่า ช่วงเกิดเหตุยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้างโตคิว เห็นนักศึกษาชาย 2 คน ยืนอยู่ใต้สะพานลอย ใช้ก้อนหินขว้างขึ้นไปบนสะพานลอยที่มีกลุ่มนักศึกษาอยู่อีก 10 กว่าคน ตนเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งหนี แต่รู้สึกเหมือนมีของแข็งกระแทกศีรษะจนหมดสติ รู้สึกตัวอีกครั้งอยู่ในห้องเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ชั้น 6 ห้างมาบุญครอง จึงรีบติดต่อพี่สาวพาส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว เบื้องต้นแพทย์ระบุ กะโหลกศีรษะร้าว จมูกด้านขวาเคลื่อน ซี่โครงหัก และมีเลือดคั่งที่ตาทั้ง 2 ข้าง แพทย์ให้พักฟื้นที่โรงพยาบาล 3 วัน รอดูอาการทางสมอง

ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คิดว่าจะต้องใช้ยาแรงขึ้น


โดยให้ สกอ. รับไปหาแนวทางวินิจฉัยโรคว่าเกิดจากอะไร และจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับสถาบันอุดมศึกษาทั้งสอง รวมถึงสถาบันอุดมศึกษาที่มีปัญหาเดียวกัน โดยมอบหมาย ให้นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ ทำหนังสือไปถึงสภามหาวิทยาลัยทั้ง
2 แห่ง ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา เมื่อถามว่า ต้องใช้ยาแรงถึงขั้นสั่งปิดทั้งสองสถาบันหรือไม่ นายจุรินทร์ตอบว่า จะให้ สกอ.รับไปพิจารณาว่าจะใช้ยาแรงถึงขนาดไหน ถึงขั้นต้องสั่งปิดสถาบันหรือไม่

ขณะที่นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า จะตรวจสอบว่าทั้ง 2 สถาบัน

ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันนักเรียนนักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศไปแล้วเมื่อวันที่
3 ก.พ.หรือไม่ หากพบว่าปล่อยปละละเลย จะต้องพิจารณาลงโทษ สำหรับ 2 สถาบันนี้ จะมีมาตรการดูแลเพิ่มเติมอีก 5 ข้อ คือ 1. ไม่ให้มีการดื่มสุราในสถาบัน 2. ทำประวัตินักศึกษาทุกปี เพื่อจะได้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ทันสมัย ใช้ตรวจสอบเมื่อนักศึกษาเป็นบุคคลต้องสงสัย 3. ติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิดหน้าสถาบัน จุดอับ และแหล่งมั่วสุม 4. ป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาชักชวนนักศึกษาไปในทางเสียหายหรือก่อกวนการเรียนการสอน และ 5. จัดกิจกรรมร่วมกันระหว่างสถาบัน นอกจากนี้ ยังได้รายงานต่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ ด้วยว่า วิทยาเขตอุเทนถวายมีแผนที่จะย้ายไปเรียนที่แห่งใหม่ที่ จ.สมุทรปราการ ส่วนสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน จะขยายวิทยาเขตไปที่ จ.ปทุมธานี โดยจะย้ายปริญญาตรีไปเรียนที่นั่น ส่วนที่ตั้งเดิมจะสอนภาคพิเศษหรือปริญญาโท ซึ่งจะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการตีกันในระยะยาว


ส่วนนายสุริยา ปันจอร์ ส.ว.สตูล โฆษกคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมธิการฯ ในวันที่
12
ก.พ.นี้

โดยเชิญเลขาธิการการศึกษามาให้ข้อมูล และหารือเพื่อหาทางออกร่วมกัน เรื่องนี้เป็นปัญหาทางสังคมไทย สะท้อนให้เห็นว่าการระดมความคิดของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาไม่มีผลแต่อย่างใด กลับเป็นการเปิดช่องท้าทายให้นักศึกษาเหล่านี้ โดยที่รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม มี
3 องค์กรที่ต้องรับผิดชอบกรณีดังกล่าวคือ 1. สถาบันทั้งสองแห่งที่ปล่อยให้เกิดปัญหา ทั้ง 2 สถาบันต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหาให้ได้ 2. ผู้บริหารระดับสูงไปจนถึงรัฐมนตรี 3. พ่อแม่ ผู้ปกครอง จะอ้างว่าไม่ได้อยู่ดูแลเพราะห่างไกลกันไม่ได้ ส่วนแนวคิดปิดสถาบันนั้น ไม่เห็นด้วย เพราะจะเกิดปัญหาต่อเด็กคนอื่นต้องหาที่เรียนใหม่ ทางออกที่ดีควรมีมาตรการขั้นเด็ดขาด ชัดเจน และควรให้ทั้ง 2 สถาบันจัดเสวนาร่วมกัน หากตรวจสอบพบว่ามีอาจารย์ที่สนับสนุน และเห็นด้วยในการก่อเหตุต้องมีการลงโทษ

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์