ยงยุทธเปิดเทปลับ ทหารบุกค้นบ้าน ตอบโต้ถูกโยงคดีชิปปิ้งหมู

หมายเหตุ - นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน พร้อมนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดแถลงที่ทำการพรรคเพื่อไทย อาคารบีบีดี บิวดิ้ง ถนนพระรามสี่ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งรื้อฟื้นคดีสังหารนายกรเทพ วิริยะ หรือชิปปิ้งหมู และมีตำรวจกองปราบปรามบุกบ้านนายยงยุทธ ที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย เพื่อค้นหาหลักฐานเชื่อมโยงคดีดังกล่าว

ได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า ถ้าผู้มีอำนาจทั้งหมดคิดว่าสามารถกำจัดพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย และกลุ่มเสื้อแดง


รวมถึงฝ่ายตรงข้ามและกลุ่มพวกพ้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยวิธีการเดิมแล้วจะทำให้บ้านเมืองสงบได้ ทั้งนี้ แม้จะจับตัวไปคุมขังฆ่าให้ตายทั้งหมด ก็เชื่อมั่นว่าไม่มีหนทางที่จะเป็นไปได้ เพราะจิตวิญญาณที่ยังไม่ตาย การกระทำที่จะใช้วิธีกำจัดกลุ่มคนฝ่ายตรงข้าม โดยไม่หันหน้ามาพูดคุยกันบ้านเมืองจะไปได้อย่างไร เพราะการอยู่ร่วมกันได้ต้องมีตัวแทนมาพูดคุยกัน จะชี้หน้าด่าว่าฉันดีเธอเลวไม่ได้

"การกำจัดศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามด้วยการใช้อำนาจและวิธีต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่จบสิ้น การที่ผมกลับประเทศไทยหลังจากทำรัฐประหาร เพราะอยากเห็นคนไทยมีความปรองดอง ซึ่งผมได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง โดยผู้ใหญ่ท่านนั้นได้พูดว่า หากออกไปคนแรกคงถูกกระทืบ"

รัฐบาลชุดนี้แทนที่จะพยายามและตั้งใจในการที่จะเสนอแนวทางความปรองดอง แต่ไม่ทำ

แม้ในระยะแรกผู้จัดการรัฐบาลได้ออกข่าวว่าอยากเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นการพูดเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ เพราะการตบตีเขาจนล้มคว่ำลงไปแล้ววันหนึ่งจะมาบอกว่าอยากหอมแก้มนั้น ต้องใช้เวลา ทั้งนี้ วันนี้ผมตั้งใจจะมาเล่าเหตุการณ์ที่ จ.เชียงราย เนื่องจากต้องการให้ทุกคนรับทราบว่าผมถูกกระทำอย่างไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา โดยมีหลักฐานต่างๆ ยืนยันได้ซึ่งผมได้เก็บหลักฐานไว้กับตัว และยังฝากไว้กับเพื่อนชาวต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งเมื่อวันหนึ่งหากผมตายหรือไม่มีโอกาสมาชี้แจงจะได้ช่วยเผยแพร่เทปม้วนนี้ให้ประชาชนรับทราบด้วย

"มีแต่คนไม่เชื่อว่าผมมีหลักฐานชิ้นนี้จริง ดังนั้น จะขอเปิดภาพการตรวจค้นบ้านพัก โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารบางส่วนเข้าดำเนินการตรวจค้น ซึ่งจะเปิดเผยบางส่วนที่บันทึกไว้ แต่ไม่ขอเปิดเสียงให้ฟัง เพราะถ้าเปิดเสียงไปจะทำให้อยู่ไม่ได้อีกหลายคน เนื่องจากเป็นเสียงของทหารที่เข้าตรวจค้นบ้านโทรศัพท์รายงานการดำเนินงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ นอกจากนี้ ยังมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ทหารถอดหมวกไหมพรมออก ทำให้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน"

สาเหตุที่ต้องเปิดเผยภาพเหตุการณ์ดังกล่าว เนื่องจาก 2-3 วันที่ผ่านมา

มีคนเล่าให้ผมฟังว่ามีบุคคลในรัฐบาลกล่าวถึงเหตุการณ์ชิปปิ้งหมูที่ถูกยิงเสียชีวิตที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นอำเภอที่ผมพักอาศัยอยู่ จึงถูกมองว่าผมเป็นคนดำเนินการในเรื่องนี้ ทั้งนี้ ขอบอกให้ทุกคนรู้ว่าช่วงที่มีการรัฐประหารมีนายตำรวจยศ พล.ต.ท.ได้เดินทางไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่โรงพักในพื้นที่ และบอกให้ปรักปรำผม หากทำได้จะได้ขึ้นเป็นผู้กำกับ แต่นายตำรวจคนดังกล่าวได้ปฏิเสธ จึงถูกย้ายไปภาคใต้และเพิ่งย้ายกลับมาไม่กี่วันนี้

นอกจากนี้ ยังมีการจับตัวเจ้าหน้าที่ป่าไม้และนำตัวมารีดข้อมูลอยู่หลายวัน อย่างไรก็ตาม หากสื่อมวลชนไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลชิปปิ้งหมู จะพบว่าคดีดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับผมเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมผิดเพียงอย่างเดียวที่ชิปปิ้งหมูมีภรรยาเป็นชาวเขาอยู่บนดอยแม่สลอง จ.เชียงราย เท่านั้น

สิ่งที่น่าสังเวชใจที่ฝ่ายการเมืองพยายามสั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้พยายามดำเนินการกับผมให้ได้ และจะมีการสมนาคุณให้อย่างงาม

จึงอยากเตือนเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหลายว่า คดีนี้มีอายุความ 20 ปี การพยายามสร้างหลักฐานเท็จจริงและเอาใจฝ่ายการเมือง วันนี้การเมืองไม่มีความแน่นอนถึงวันหนึ่งท่านก็ต้องรับผิดชอบขึ้นโรงขึ้นศาล วันนั้นคนสั่งอาจชราและตายไปแล้ว

เหตุการณ์ที่คนเสื้อแดงไปล้อมบ้านผม เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจสนธิกำลังบุกบ้านพักของผม

เกิดจากกรณีที่เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งไปพักที่โรงแรมในเชียงราย ซึ่งเป็นของเครือญาติผมทั้งนั้น ดังนั้น การสนทนาดังกล่าวทุกคนจึงรับทราบดี ชาวบ้านในพื้นที่จึงกลัวว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมที่ถูกบุกบ้านพักใน กทม. จึงต้องไปคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม ขอฝากไปยังคนสั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจหากต้องการบุกค้นบ้านพักของผมไม่ต้องออกหมายศาล เพื่อหวังผลทางการเมือง เพียงแต่บอกมาผมก็จะพาไป

"วันนี้ผมจะสู้ให้ถึงที่สุดและจะบอกให้รู้ว่า การกลั่นแกล้งทางการเมือง ปล่อยข่าวมาจนเชื่อว่าเป็นความจริง ทุกวันนี้ผมไม่เถียงซักคำจะได้รู้เสียที ไม่ว่าชาติหน้าชาติไหนก็ตามว่าผมถูกกระทำทั้งหมด ซึ่งวันนี้เป็นคดีที่ 9 แล้ว"

หลังจากกลับประเทศไทยคดีคอร์รัปชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหวยบนดิน แอร์พอร์ตลิงก์ และคดีกล้ายาง รอดทุกคดี

แต่กลับถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาท 2 คดี คดีที่ 3 พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. ฟ้องร้อง กกต.เพื่อให้ใบแดงผม อ้างว่าผมเป็นผู้กล่าวร้ายทหาร ว่าทหารห้ามประชาชนไม่ให้ไปฟังการปราศรัย ซึ่งท้ายที่สุดผลสอบออกมาว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง

คดีที่ 4 เรื่องการสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ที่ กกต.ขอให้มีการพิสูจน์ลายมือชื่อว่าเป็นของผมจริงหรือไม่ คดีที่ 5 ข้อกล่าวที่อ้างว่าผมเกณฑ์คนในอำเภอแม่จัน คดีที่ 6 กรณีใบเหลืองใบแดง จนสุดท้ายทำให้ผมได้รับใบแดง คดีที่ 7 การโอนหุ้นขายหุ้นบริษัทแปรรูปอาหารเพื่อการส่งออก ซึ่งกรณีนี้ทำให้ถูกพิพากษาจำคุกอีก 6 เดือน หลังจากถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีแล้ว

นี่คือชีวิตที่ต้องเผชิญ เสือมันไม่ร้องแต่จะอดทน เพื่อให้เกิดความปรองดอง ส่วนคดีที่ 8 มีข้อกล่าวหาที่ระบุว่า มีการซื้อเสียงในการเลือกตั้งซ่อม ซึ่ง น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย น้องสาวของผมลงสมัคร

ภาพการบุกบ้านพักผมโดยทหารเป็นบ้านพักที่ลูกของผมอาศัยอยู่ รวมถึงญาติและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาดูแลความปลอดภัย ซึ่งหนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกดหัวและใช้ปืนจี้หัว และหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นานตำรวจที่อยู่บ้านผมนายหนึ่งที่อายุไม่ถึง 40 ปี ถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในภาคใต้ ซึ่งพอไปปฏิบัติหน้าที่ได้ 2-3 วัน ก็ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งผู้ตายมีภรรยาและลูกที่ยังเล็ก จึงขอถามว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษจะเข้ามาดูแลในเรื่องนี้หรือไม่ ว่าผู้ตายถูกพวกเดียวกันฆ่าหรือถูกผู้ก่อการร้ายฆ่า

นอกจากนี้ ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ซึ่งผู้ที่ให้ใบแดงผมเป็นนายตำรวจที่อยู่ที่ สภ.ลาดหลุมแก้ว ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สส.บก.น.1 ที่เป็นหนึ่งในพยานปรักปรำจนทำให้ใบแดงผม นอกจากนี้ ยังมีกรณีของ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม (ผบช.ประจำ สนง.ตร.) ที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบอยู่ แต่กลับถูกแต่งตั้งให้เป็น ผบช.ภ.5 ในขณะที่ยังมีคดีติดตัวอยู่ ซึ่งคดีนี้จะหมดอายุความในปี 2553

จึงขอฝากถามไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และฝ่ายความมั่นคง ว่ามีนโยบายที่จะยุติคดีนี้หรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์ทั้งหมดสามารถเชื่อมโยงกันได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกันหมด รวมทั้งเกี่ยวข้องกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีข่าวว่าจะมีการส่งคนกลุ่มนี้ไปปราบคนเสื้อแดง

"ขอเตือนว่า การที่ไปฟังกุนซือให้กำจัดด้วยวิธีการกายภาพ กักขัง เอาไปฆ่า จำคุกและตั้งข้อกล่าวหา ต้องขอบอกตรงๆ ว่า การที่จะนำคนกลุ่มนี้ไปฆ่าให้ตาย ขบวนการประชาชนก็จะไม่หมดไป ยกเว้นจะสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดอง ที่จะช่วยค้ำ 3 สถาบันหลัก แต่ถ้ายังคงสร้างความขัดแย้งและตั้งคนที่เป็นปฏิปักษ์ไปจัดการกัน บ้านเมืองก็จะไปไม่รอด"

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์