ศก.ยุ่นวิกฤตหนักปรับลดการเติบโตปีหน้าเหลือ0% ดร.ซุปมองแง่ดี เชื่อศก.เอเชียฟื้นได้เพราะพื้นฐานแกร่ง

"ศุภชัย" เชื่อปีหน้า ศก.เอเชียฟื้นตัวเหตุพื้นฐานยังแกร่ง ก.แรงงานสั่งจับตานายจ้างฉวยโอกาสปิดกิจการ ธนาคารกลางญี่ปุ่นหั่นดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือแค่ 0.1% ระบุภาวะศก.เสื่อมทรามลงอย่างรวดเร็ว เหตุส่งออกทรุด พร้อมกับปรับลดการเติบโต ศก.ปีหน้าเหลือ 0% เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ราคาน้ำมันดิ่งต่อเนื่องแตะ 36 ดอลลาร์ ทำสถิติต่ำสุดครั้งใหม่

 
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการองค์การการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ว่า ไม่ขอวิจารณ์รายชื่อว่าที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ขอเปิดโอกาสให้รัฐบาลทำงานก่อน โดยเชื่อว่ารัฐบาลจะใช้เวลาเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ไม่นาน เพราะพื้นฐานของประเทศไทยดีอยู่แล้ว

"ในสายตานักลงทุนต่างประเทศเข้าใจไทยดี เชื่อว่าไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจดี โดยดูได้จากตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เริ่มกลับมาแล้ว" นายศุภชัยกล่าว

เลขาธิการอังค์ถัดกล่าวถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจว่า ในปีหน้าประเทศกำลังพัฒนา และเอเชีย ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้มากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยจากการประเมินของประเทศที่พัฒนาแล้วพบว่าเศรษฐกิจจะติดลบประมาณ 0.5-0.9% ในขณะที่เอเชียยังจะเติบโตอยู่ประมาณ 4-5% แต่ก็ไม่แน่เพราะขึ้นอยู่กับนโยบายของเอเชียด้วยว่าจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ที่เอเชียยังเติบโตได้ เพราะสถาบันการเงินยังแข็งแกร่ง และมีข้อได้เปรียบ คือ พึ่งฟื้นตัวจากปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่นาน ที่ผ่านมาจึงมีการแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคงมากยิ่งขึ้นอยู่แล้ว ขณะที่กองทุนก็มีเงินเพียงพอ และสถาบันการเงินในเอเชียก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยุโรปและอเมริกามากนัก สำหรับตลาดเอเชียยังแข่งขันอยู่มาก แต่ต้องกระตุ้นอุปสงค์เพิ่ม เพราะในปีหน้าตลาดโลกจะหดตัว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการค้าระหว่างเอเชียด้วยกันมากขึ้น เพื่อทดแทนตลาดในแถบยุโรปและอเมริกา

นายอาทิตย์ อิสโม รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะทำงานติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์การเลิกจ้าง ที่กระทรวงแรงงาน ว่า ช่วงวันที่ 1 มกราคม-18 ธันวาคมที่ผ่านมา มีสถานประกอบการปิดกิจการ 597 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 48,602 คน พื้นที่ที่มีการเลิกจ้างมากที่สุด 5 จังหวัดแรก คือ จ.ปทุมธานี สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา และตาก ประเภทกิจการที่มีการเลิกลูกจ้างมากที่สุด ได้แก่ ผลิตสิ่งทอสิ่งถัก รองลงมา การผลิตเครื่องประดับและเฟอร์นิเจอร์ การบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ ขายปลีกของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน การผลิตภัณฑ์จากแร่โลหะ   นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มการเลิกจ้างอีก 265 แห่ง ลูกจ้าง 130,480 คน ส่วนใหญ่เป็นประเภทกิจการอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ พบมากในพื้นที่ จ.ชลบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่

นายอาทิตย์กล่าวว่า กสร.กำลังเตรียมเสนอปลัดกระทรวงแรงงาน ลงนามพร้อมประกาศและส่งให้นายจ้างสถานประกอบการ 406,436 แห่งทั่วประเทศ เพื่อขอความร่วมมือไปยังสถานประกอบการ ให้พนักงานหยุดพักผ่อนตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม-2 มกราคม ตามมติ ครม. และสั่งการเจ้าหน้าที่สำรวจและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีสถานประกอบถือโอกาสนี้หยุดยาว หรือเลิกจ้างพนักงาน หรือปิดกิจการถาวรได้

ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 0.3% เหลือ 0.1% ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ลดเหลือ 0-0.25% ทั้งนี้บีโอเจมีแถลงการณ์ว่า สภาวะเศรษฐกิจเสื่อมทรามลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และมีแนวโน้มสูงว่าการเสื่อมทรามจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นในระยะปานกลาง เพราะตลาดส่งออกทั่วโลกที่เคยเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะมีความต้องการลดลง

รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำนักงานคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นยังได้ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจปีหน้า โดยคาดว่าจะหดตัว 0.8% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1.3% นับเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่ญี่ปุ่นประเมินว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ในระดับ 0% และยังประเมินว่าเศรษฐกิจจะไม่เติบโตไปตลอดปี 2553 ขณะเดียวกันอัตราการว่างงานจะมากขึ้นเป็น 4.7% ในปีงบประมาณ 2553 จากระดับปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 3.8%

ทางด้านสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (ไอไอเอฟ) ซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วยธนาคารและสถาบันการเงิน 375 แห่งทั่วโลก และมีสำนักงานกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ของสหรัฐ ออกรายงานระบุว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะหดตัว 0.4% เมื่อเทียบกับปีนี้ที่เติบโต 2% ซึ่งถือว่าเป็นภาวะที่เศรษฐกิจโลกถดถอยอย่างรุนแรงและพร้อมกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสมัยใหม่ ทั้งนี้เศรษฐกิจของชาติพัฒนาแล้วทั้งสหรัฐ, อังกฤษ, กลุ่มประเทศยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโร 15 ประเทศ (ยูโรโซน) และญี่ปุ่น ซึ่งทั้งหมดถดถอยอยู่แล้วในขณะนี้ จะหดตัวมากถึง 1.4% ในปีหน้า

"ในที่นี้ควรจะเน้นด้วยว่าการหดตัวของเศรษฐกิจโลกทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์เศรษฐกิจที่อ่อนแอจริงๆ และเป็นครั้งแรกที่เกิดภาวะเช่นนี้นับจากช่วงหลังทศวรรษ 1960" ไอไอเอฟระบุ และว่า เมื่อแยกเป็นรายประเทศพบว่า สหรัฐซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก เศรษฐกิจจะหดตัว 1.3% ในปีหน้าเมื่อเทียบกับปีนี้ซึ่งขยายตัว 1.2% กลุ่มยูโรโซนจะหดตัว 1.5% เมื่อเทียบกับปีนี้ที่ขยายตัว 0.9% ญี่ปุ่นจะหดตัว 1.2% เมื่อเทียบกับปีนี้ที่เติบโต 0% ทั้งนี้เพื่อต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ควรใช้มาตรการในลักษณะร่วมมือกันทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและญี่ปุ่น

สำหรับวิกฤตของอุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐที่ถูกวุฒิสภาสหรัฐปฏิเสธการอนุมัติเงินช่วยเหลือ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และจนถึงขณะนี้รัฐบาลสหรัฐยังไม่มีข้อสรุปนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ตามเวลาท้องถิ่นประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร แต่ก็ไม่อยากทิ้งความยุ่งยากไว้ให้กับรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงการล้มละลาย

นางดานา เพริโน โฆษกทำเนียบขาว ขยายความเรื่องนี้ว่า หากจะเลือกใช้วิธีล้มละลายก็มีหนทางที่จะทำให้การล้มละลายนั้นเป็นไปอย่างมีระบบระเบียบเพื่อให้การลงแตะพื้นเป็นไปอย่างนุ่มนวล (ซอฟต์แลนดิ้ง) อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายทางเลือกเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์ รวมทั้งการเจียดเงินจำนวนหนึ่งมาจากวงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ที่คองเกรสอนุมัติมาช่วยเหลือสถาบันการเงิน

รายงานข่าวระบุว่า หลังจากทำเนียบขาวออกมาพูดเรื่องล้มละลาย ทำให้บรรดา 3 บริษัทรถยนต์ (บิ๊กทรี) ของสหรัฐ รวมทั้งสหภาพแรงงาน ได้ออกมาย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าจะไม่เลือกทางนี้โดยชี้ว่าเป็นแนวทางที่จะไม่ได้ผลและเป็นอันตราย ขณะเดียวกันคำพูดจากทำเนียบขาวส่งผลให้ราคาหุ้นของเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) และฟอร์ด ร่วงลงอย่างมาก

แหล่งข่าวในคองเกรสที่ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ชี้ว่าการที่รัฐบาลพูดถึงการล้มละลาย อาจเป็นยุทธวิธีโน้มน้าวให้บิ๊กทรีและสหภาพแรงงานยินยอมตามข้อเสนอของคองเกรสก่อนหน้านี้ที่ขอให้ลดค่าจ้างรายวันลงใกล้เคียงกับโรงงานรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนทางหนึ่งในการปรับปรุงประสิทธิภาพการแข่งขัน เพื่อแลกกับการได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล
 
ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบหลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ลดกำลังการผลิตวันละ 2.2 ล้านบาร์เรล นั้นไม่สามารถพยุงราคาเอาไว้ได้ โดยราคาซื้อขายน้ำมันดิบไลต์สวีทในตลาดนิวยอร์ควันที่ 18 ธันวาคม ปรับลง 3.84 ดอลลาร์ ปิดตลาดที่ 36.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำสถิติต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบกว่า 4 ปี หรือนับจากเดือนกรกฏาคม 2547 โดยช่วงหนึ่งลงไปต่ำถึง 35.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งนี้เนื่องจากนักลงทุนกังวลต่อการที่บริษัทขนาดใหญ่ต่างๆในทุกภาคธุรกิจของสหรัฐอเมริกามีการปลดพนักงานอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจจะยังคงเลวร้ายลงไปอีก อย่างไรก็ตามในการซื้อขายที่เอเชียในช่วงบ่ายวันที่ 19 ธันวาคม ราคาขยับขึ้นเล็กน้อยไปอยู่ที่ 36.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  
 
ด้านเจพีมอร์แกน ได้ปรับลดราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบของปีหน้าลงจาก 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเหลือ 43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เสื่อมทรามลงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันหดตัวลงมากทั้งปีนี้และปีหน้า


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์