กองกําลังมีปืน ยิงถล่มตร. เสื้อแดงระดมวันนี้


เข้าสู่วันที่ 4 แล้วที่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย  (พธม.)  บุกเข้ายึดสนามบินนานาชาติดอนเมือง และสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อกดดันให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ลาออก โดยไม่มีทีท่า ว่าจะลดราวาศอก  หรือถอนกำลังออกมา  แม้รัฐบาลได้ ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และตำรวจได้ประกาศจะใช้มาตรการ จัดการกับม็อบแบบจากเบาไปหนักแล้วก็ตาม


ตร.ปฏิบัติการตั้งด่านสกัดเข้ม

ทั้งนี้  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ตั้งแต่เวลา  03.00  น. วันที่ 29 พ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มลงมือปฏิบัติการด้วยความละมุนละม่อม ด้วยการตั้งด่านสกัดบนถนนมอเตอร์เวย์ ทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ เรียกตรวจรถทุกคันที่วิ่งผ่าน อย่างละเอียด พร้อมกับห้ามเข้าไปในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯยังปักหลักชุมนุมอยู่  โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่า  เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตาม  พ.ร.ก.บริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีการประกาศใช้ ในพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง  

ห้ามรถทุกชนิดเข้าสนามบิน

 

มีรายงานว่า นอกจากตำรวจจะสกัดไม่ให้รถขน เสบียงของ พธม. เข้าไปแล้ว รถพยาบาลฉุกเฉินของสภากาชาด ที่จะเข้าไปประจำการเพื่อดูแลผู้ป่วยตามปกติ  ก็ไม่สามารถ เข้าไปได้ ขณะเดียวกันมีความพยายามที่จะตัดสัญญาณการถ่ายทอดสดของเอเอสทีวีจากที่ชุมนุมในสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกันนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่อนุญาตให้รถพยาบาล และผู้สื่อข่าวเข้าไปในสนามบินสุวรรณภูมิอีกด้วย ส่วนพื้นที่รอบนอกมีการตั้งด่านเป็นระยะ โดยมี การตรวจค้นรถอย่างละเอียด   โดยเฉพาะการเน้นค้นรถแท็กซี่ทุกคัน

 

จำลองย้ำให้พกเสบียงติดตัว

 

ผลจากการปิดเส้นทางลำเลียงเสบียงดังกล่าวมาตลอดกว่าสามชั่วโมง ทำให้แกนนำพันธมิตรฯอย่าง พล.ต. จำลอง  ศรีเมือง  ต้องขึ้นเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา  06.30  น.  ประกาศนำประชาชนหลายพันคนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดมายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อเดินทาง ต่อไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ขอให้แต่ละคนเตรียมอาหารแห้ง หรือขนมปังติดตัวไปด้วย เนื่องจากตำรวจและเจ้าหน้าที่อาสาสมัครได้ปิดทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิไว้แล้ว โดยไม่ให้มีการนำอาหาร หรือคนเข้าไป ให้ออกมาได้อย่าง เดียว ตามแผนการที่จะสลายการชุมนุม แต่ตำรวจคงไม่ใช้ ความรุนแรง เพราะใช้มาแล้วในวันที่ 7 ต.ค. ทำให้ภาพลักษณ์ เสียหาย อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มพันธมิตรฯจะนำคนเข้าไป ปิดล้อมตำรวจอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ตำรวจเปิดทางให้ประชาชน เข้าไปสมทบในพื้นที่สุวรรณภูมิให้ได้

 

ขนคน-ของปิดทางเข้าอาคาร

 

ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรฯที่อยู่ในสนามบิน สุวรรณภูมิก็ออกมาตั้งด่านตรวจ ด้วยการนำรถเข็นสัมภาระ กำแพงคอนกรีต  อนุญาตให้รถยนต์ผ่านทีละคัน  พร้อมสั่งให้ลดกระจกลงให้เห็นภายใน และขอตรวจท้ายรถอย่าง ละเอียด ส่วนบริเวณประตูทางเข้าอาคารผู้โดยสารมีการ์ดประมาณ 5-10 คน ประจำอยู่ทุกประตู และตรวจค้นตัว ผู้ร่วมชุมนุมซ้ำอีกครั้งว่า ไม่ใช่บุคคลแปลกปลอมเข้ามา ก่อความวุ่นวาย โดยตลอดทุกชั้นภายในอาคารผู้โดยสาร มีการจัดตั้งหน่วยลาดตระเวนเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด นอก จากนั้น หน่วยลาดตระเวนทุกชุดยังมีกล้องส่องทางไกลคอยสอดส่องความผิดปกติฝั่งอาคารสำนักงานบริษัทการท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และโรงแรม โนโวเทล ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตลอดเวลา

 

แก้เกม ตร.ใช้วิธีแซนด์วิชประกบ

 

ต่อมาเวลา 08.15 น. นายอมร อมรรัตนานนท์ แกนนำฯ รุ่น 2 ปราศรัยที่สนามบินสุวรรณภูมิ แจ้งให้ ผู้ชุมนุมเตรียมตัว ให้คนที่นำรถปิกอัพมาด้วย เอารถไปขนขยะไปกองไว้ที่แนวตำรวจและตั้งขบวนชุมนุมอยู่ด้านใน รอให้ประชาชนที่จะเดินทางมาสมทบชุมนุมประกบอยู่ด้านนอกในลักษณะแซนด์วิชตำรวจเอาไว้ และจากนั้น นายพิชิต ชัยมงคล โฆษกบนเวทีกลุ่มพันธมิตรฯ สนามบินสุวรรณภูมิ ประกาศให้ผู้ชุมนุมทุกคนคอยเฝ้าระวังและสังเกตความเคลื่อนไหวของตำรวจที่เคลื่อนกำลังเข้าประจำการภายในอาคารสำนักงาน ทอท. ด้านตรงข้ามอาคารผู้โดยสาร ซึ่งอาจเข้ามาสลายการชุมนุมได้ทุกเวลา นอกจากนั้นยังประกาศระดมอาสาสมัครให้นำรถยนต์ไปล้อมตำรวจที่ตั้งด่านตรวจสกัดถนนทุกสายที่มุ่งหน้าเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรอให้กำลังกลุ่มพันธมิตรฯ จากทำเนียบรัฐบาลมาปิดล้อมตีขนาบ เพื่อกดดันให้ตำรวจล่าถอยออกนอกพื้นที่

 

ยกพลขับไล่ ตร.พ้นสุวรรณภูมิ

 

เวลา 09.00 น. กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เริ่มยุทธการดาวกระจายปิดล้อมอาคารโดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเรือนำกำลังไปเตรียมไว้ โดยระดมกำลังจากกองทัพธรรม ประมาณ 1 พันคน นำโดยเรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ ส่วนคนของสหภาพรัฐวิสาหกิจ นำโดย นายศิริชัย ไม้งาม การ์ดอาสาพันธมิตรฯ นำโดย นายศรัณยู วงษ์กระจ่าง แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 และนายอมร อมรรัตนานนท์ โดยจุดแรกที่กลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนทัพเข้าผลักดันเจ้าหน้าที่ตำรวจให้พ้นพื้นที่บริเวณหน้าศูนย์ไปรษณีย์ ซึ่งมีตำรวจภูธรภาค 7 จำนวน 1 กองร้อยประจำการอยู่ โดยกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ใช้การ์ดอาสา และรถกระจายเสียงนำหน้า ใช้มือตบตะโกนโห่ร้องก่อนเข้ายึดรถตู้ 5 คัน และรถคุมขังนักโทษ 4 คัน ปล่อยลมยางรถทุกคัน และยังสูบน้ำมันออกจากรถคุมขัง 2 คัน อีกด้วย ระหว่างนั้น พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.2 ทราบเรื่องจึงรุดไปเจรจากับเรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ อยู่ชั่วครู่ จึงยอมปล่อยรถทั้งหมดคืนเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องถอนกำลังออกจากบริเวณดังกล่าว ซึ่ง รอง ผบช.ภ1 ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 7 ถอนกลับไปที่ สภ.ราชาเทวะ ทางกลุ่มพันธมิตรฯ จึงถอนตัวจากจุดดังกล่าว

 

เดินหน้าไล่ล่าผลักดัน ตร.ทุกจุด

 

จากนั้นกลุ่มพันธมิตรฯ ได้มุ่งหน้าต่อไปยังลานจอดรถสาธารณะ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 1 จำนวน 1 กองร้อย ตรึงกำลังอยู่ โดยตีโอบถนนทั้งสองด้านแซนด์วิชเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ตรงกลาง โดยฝั่งบริษัทครัวการบินกรุงเทพ นายศิริชัย ไม้งาม แกนนำ สรส.นำพันธมิตรฯ และ เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ ปิดถนนเอาไว้ ส่วนนายศรัณยู วงษ์กระจ่าง และนายอมร อมรรัตนานนท์ นำกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดถนนไว้อีกด้าน ก่อนใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจถอนตัวออกจากพื้นที่ทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีกำลังน้อยกว่าก็ยอมล่าถอยออกไปแต่โดยดี ท่ามกลางเสียงปรบมือโห่ร้องด้วยความดีใจของเหล่าผู้ชุมนุม หลังจากนั้นได้ยกพลต่อไปยังอาคารสำนักงานการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และศูนย์ดับเพลิงการท่า อากาศยานสุวรรณภูมิ แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจถอนตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนี้ ยังมีการส่งการ์ดพันธมิตรฯชุดเคลื่อนที่เร็ว นำโดยนายศรัณยู ตระเวนตรวจค้นตาม ตึกต่างๆ รายรอบสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อให้แน่ว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจฝังตัวอยู่

 

การ์ด พธม.เหิมรุกไล่ปิดล้อม ตร.

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นการ์ดพันธมิตรฯ นำอาสาสมัครจำนวนหนึ่งไปปิดล้อมตำรวจที่ตั้งด่านสกัดบริเวณทางออกถนนร่มเกล้า-ลาดกระบัง ส่วนบริเวณพื้นที่รอบอาคารผู้โดยสาร เช่น ศูนย์ขนส่งสาธารณะ สถานีป้องกันอัคคีภัย สำนักงาน ทอท. หอบังคับการบิน และห้องวีไอพี เป็นต้น มีกำลังตำรวจประจำการอยู่รวมแล้วกว่า 1 พันนาย สำหรับการปิดล้อมพื้นที่โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิของกองกำลังผสม บช.ภาค 1 และกองร้อยควบคุมฝูงชน หน่วยนาวิกโยธิน สังกัดกองทัพเรือ ภาคที่ 1 มีการปิดการจราจรห้ามรถยนต์ทุกชนิดเข้าพื้นที่อย่าง เข้มงวด บริเวณทางเข้าออกด้านถนนสายบางนา-ตราด และสายมอเตอร์เวย์ ส่วนด้านถนนกิ่งแก้ว-ลาดกระบัง ยังอนุญาตให้ผ่านทางเฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น

 

เป็นลมชักกลับลือว่าถูก ตร.ยิง

 

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า จากนั้นไม่นานมีผู้ร่วมชุมนุมเป็นชายวัยกลางคน นั่งฟังการปราศรัยที่หน้าประตู 4 อาคารผู้โดยสารชั้น 4 เป็นลมชักล้มลง ทำให้หน่วยแพทย์-พยาบาลอาสาสมัครนำเปลไปเคลื่อนย้ายออกมาปฐมพยาบาล ขณะเดียวกัน ก็เกิดข่าวลือในหมู่ผู้ชุมนุมว่าชายคนดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงได้รับบาดเจ็บ

 

คุมแจนักข่าวช่างภาพกลัวหลุด

 

ต่อมาการ์ดพันธมิตรฯ 2 คน ล็อกแขนจับตัวชายคนหนึ่ง สวมเสื้อแจ็กเกตสีเทา กางเกงสีเข้มคล้ายกางเกงทหาร โดยมีนายสำราญ รอดเพชร แกนนำรุ่น 2 เข้าไปสอบสวนที่บริเวณจุดรักษาความปลอดภัยด้านข้างด่านตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาออกต่างประเทศ จากนั้นการ์ดพันธมิตรฯกว่า 10 คน พร้อมอาวุธ ซึ่งเป็นชุดกระบองและโล่ที่ยึดได้จากตำรวจมาใช้คุมเข้มพื้นที่ ไม่ให้ มีผู้ติดตามเข้ามามุงดู และสั่งให้กลับไปนั่งฟังการปราศรัย ตามปกติ มิเช่นนั้นจะถือเป็น นปก. รวมทั้งสั่งไม่ให้ผู้สื่อข่าวทั้งชาวไทยและต่างประเทศบันทึกภาพหรือทำข่าว โดยมีการยกมือปิดหน้ากล้องช่างภาพทีวีและหนังสือพิมพ์ นอกจากนี้ ยังให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครคนหนึ่งนำกล้องมาคอยบันทึกภาพช่างภาพและนักข่าวที่บันทึกภาพเหตุการณ์ ดังกล่าวไว้ รวมทั้งยังให้การ์ดอาสาติดอาวุธคนหนึ่งเข้ามาตรวจค้นภายในเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของ  ทอท. บริเวณปากทางออกประตู 5 ซึ่งสื่อมวลชนส่วนใหญ่ใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติงานรายงานข่าวในพื้นที่การชุมนุม โดยการ์ดคนดังกล่าวอ้างว่าได้รับแจ้งว่ามีบุคคลต้องสงสัยเข้ามาซุกซ่อนจึงต้องมาตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม เป็นที่สังเกตว่าตลอดเวลาที่ตรวจค้นนั้น การ์ดคนเดิมเฝ้าแต่คอยจับตามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ว่าผู้สื่อข่าวกำลังเขียนข่าวว่าอย่างไร


จับตัวชายต้องสงสัยที่แท้นายดาบ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชายผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมดังกล่าว ต่อมาทราบชื่อว่า ด.ต.สมภพ นัทธี ตำแหน่ง ผบ.หมู่ กก.ปฏิบัติการพิเศษ สังกัด บช.ภาค 1 ซึ่งให้ปากคำกับนายสำราญว่า ได้ขับรถยนต์ผ่านไปยังจุดปะทะระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ และตำรวจบริเวณด่านตรวจด้านถนนกิ่งแก้ว แต่ถูกกลุ่มพันธมิตรฯเรียกให้ลงจากรถ แต่ ขณะนั้นเป็นเหตุการณ์ชุลมุนทำให้กลับไปอยู่ในเขตควบคุมของตำรวจที่ถอยร่นออกไป ด้วยความเป็นห่วงรถจึงนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างกลับมาเพื่อนำรถยนต์ออกไป แต่เมื่อไปถึงรถยนต์กลับถูกกลุ่มพันธมิตรฯทุบทำลายได้รับความเสียหาย ขณะเดียวกัน กลุ่มการ์ดพันธมิตรฯ เข้าควบคุมตัวไปสอบสวนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หลังสอบปากคำเสร็จ นายสำราญสั่งให้การ์ดจำนวน 2 คน ควบคุมตัว ด.ต.สมภพ ไว้อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการหลบหนี และอาจถูกกลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าไปทำร้าย

 

จวก ตร.ไม่แฟร์ตัดทางขนเสบียง

 

ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยึดท่าอากาศยานกรุงเทพ หรือสนามบินดอนเมือง มาตลอดสัปดาห์ จนกระทั่งเช้าวันที่ 29 พ.ย.จำนวนผู้ชุมนุมยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการขึ้นเวทีปราศรัยของเหล่าแกนนำพันธมิตรฯ อาทิ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นางมาลีรัตน์ แก้วก่า อดีต ส.ว.สกลนคร สลับด้วยการแสดงดนตรี ก่อนที่นายสมศักดิ์จะนำผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งเดินทางไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังรู้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเรือตั้งด่านปิดเส้นทางรอบสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อไม่ให้พันธมิตรฯ เข้าร่วมชุมนุมและเป็นการตัดเสบียงอาหารและน้ำดื่มที่จะนำไปให้ผู้ชุมนุมที่สุวรรณภูมิ  หลังจากนั้นนายสมศักดิ์เดินทางกลับมาที่สนามบินดอนเมืองอีกครั้งก่อนจะออกมาให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า  ตลอดคืนที่ผ่านมา การ์ดพันธมิตรฯ  พบคนต้องสงสัยพกระเบิดปิงปองเข้าในพื้นที่ หวังจะสร้างความปั่นป่วน และว่าการที่ตำรวจปิดเส้นทางไม่ให้ลำเลียงอาหารไปให้ผู้ชุมนุมในสนามบินสุวรรณภูมิ ไม่มีใครเขาทำกันและไม่ใช่การต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตย

 

การ์ดรวบตัวหญิงป่วนดอนเมือง

 

ต่อมาเวลา 11.30 น. การ์ดพันธมิตรฯได้จับกุมหญิงต้องสงสัยคนหนึ่งสวมชุดผ้าไหมสีส้มเข้ามาเดินปะปนอยู่ที่บริเวณหน้าทางเข้า ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารภายในประเทศขาเข้า โดยได้เที่ยวเดินบอกกับผู้ที่เดินทางมาร่วมชุมนุมว่า อย่าเข้าไปร่วม เพราะจะมีการสลายการชุมนุม โดยผู้ชุมนุมที่ได้รับฟังได้ไปแจ้งให้การ์ดอาสา ทราบ จากนั้นการ์ดได้นำตัวหญิงต้องสงสัยคนดังกล่าวไปให้นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ สอบสวนที่บริเวณหลังเวทีปราศรัย

 

มาลีรัตน์นำตัวประจานบนเวที

 

จากนั้นเวลา 12.00 น. การ์ดพันธมิตรฯได้ควบคุมตัวหญิงสาวคนดังกล่าวขึ้นไปบนเวทีปราศรัย โดยนางมาลีรัตน์ แก้วก่า อดีต ส.ว.สกลนคร แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ รุ่น 2 ได้ประกาศบนเวทีว่า หญิงสาวคนดังกล่าวได้ปลอมตัวเข้ามาในพื้นที่ชุมนุม  ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ภายในตัวมีบัตรประจำตัวทหารผ่านศึกนอกราชการ ระบุชื่อ ร.ต.ต.สุภาพ อันทับทิม และขอให้ผู้ชุมนุมจดจำหญิงสาวคนนี้ไว้  เพื่อป้องกันไม่ให้แฝงตัวเข้าไปในการชุมนุมอีก  จากนั้นหญิงสาวคนดังกล่าวได้กล่าวบนเวที ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า  ขอให้ผู้ที่ได้เข้ามาด้วยกันเดินทางกลับบ้าน เพราะอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว และอยากกราบขอโทษผู้ชุมนุมทุกคน เนื่องจากไม่รู้จริงๆ และไม่ได้ตั้งใจเข้ามาพื้นที่การชุมนุม และขอให้เพื่อนที่มาด้วยกันอีก 5 คนขอให้ออกจากที่ชุมนุม ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความไม่พอในของผู้ชุมนุม ก่อนที่การ์ดจะนำตัวออกจากพื้นที่ ระหว่างนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้กรูกันนำมือตบมาตีใส่ พร้อมกับด่าทอขับไล่บางรายนำน้ำสาด จนการ์ดต้องประกาศห้ามทำร้ายและนำตัวขึ้นแท็กซี่ออกไปอย่างทุลักทุเล

 

อ้างรู้จักคนจ้างวานอยู่สะพานใหม่

 หลังจากนั้น นางมาลีรัตน์ได้กล่าวต่อผู้ชุมนุมอีกว่า พันธมิตรฯได้เฝ้าสังเกตพฤติกรรมและติดตามผู้แปลก ปลอมเข้ามาที่ชุมนุมโดยไม่ให้รู้ตัว โดยหญิงที่อ้างเป็น ร.ต.ต.สุภาพนี้เข้ามาที่ชุมนุมตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. พยายาม ชักจูงให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่  หลังจากค้นตัวพบบัตรสภาเยาวชนบางเขนและบัตรประจำตัวทหารผ่านศึกนอกราชการและรับสารภาพว่าเป็นบัตรปลอมทั้ง 2 ใบ ได้รับค่าจ้างวันละ 600 บาท นอกจากนี้ ยังอ้างชื่อผู้จ้างวาน ซึ่งขณะนี้ทราบแล้วว่าผู้ที่ส่งหญิงคนดังกล่าวเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่สะพานใหม่

จำลองกร้าวพร้อมตอบโต้ ตร.

 

ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล ที่ห้องผู้สื่อข่าว พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ เปิดแถลงข่าวกับสื่อมวลชน กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมภายในทำเนียบฯ สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ว่า ทราบข่าวแน่ชัดว่ารัฐบาลจะเข้าสลายการชุมนุมตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว โดยเมื่อช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเข้าไปปิดล้อมบริเวณ สนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำ ให้ระบบเศรษฐกิจประเทศไทยได้รับความเสียหาย เพื่อไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯส่งเสบียงเข้าไปภายในสนามบินสุวรรณภูมิได้ หลังจากมีการเจรจากันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับแกนนำพันธมิตรฯ สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมเปิดทางให้พันธมิตรฯสามารถลำเลียงเสบียงได้ตามปกติ ส่วนสถานการณ์การชุมนุมขณะนี้ ทั้งที่ทำเนียบฯ ทำเนียบฯชั่วคราวดอนเมือง และสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี พล.ต.จำลอง กล่าวว่า สถานการณ์ยังคงเป็นปกติ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไปปิดล้อมทางกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อไหร่ พันธมิตรฯก็จะมีการระดมพลไปปิดล้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกชั้นหนึ่ง โดยจะไปชุมนุมกันอย่างสงบปราศจากอาวุธ เพื่อยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่าเอาแต่ฟังคำสั่งของรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจควรที่จะฟังประชาชนบ้าง ส่วนการที่ไปปิดล้อมไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯกินข้าวกินน้ำ ถือว่าเป็นกระทำที่โหดร้ายเกินไป

 

แบะท่าพร้อมเจรจากับนายกฯ

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุการณ์การชุมนุมจะจบลงในรูปแบบไหน พล.ต.จำลองกล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่อยากให้จบลงในรูปแบบที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ต้องลาออกไป การไปปิดสนามบินทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากก็จริง แต่ต้นเหตุของปัญหานั้นมาจากรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในการบริหาร และเป็นไปได้ ว่าเหตุการณ์จบก่อนวันที่ 5 ธ.ค. อย่างแน่นอน และหากตำรวจสลายการชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ พวกตนก็จะกลับมายึดคืนอีก และจะมีประชาชนกลับมามากกว่าเดิมด้วย ส่วนการเจรจานั้นแกนนำทุกคนพร้อมเจรจากับ นายสมชายเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่จะเป็นสถานที่ใด เมื่อไหร่ ยังไม่ได้กำหนด หากเอาคนกลางมาเจรจาก็ไม่เกิดประโยชน์เพราะเลยจุดส่งคนกลางมาเจรจาแล้ว

 

หวังพึ่ง ยธ.หลังถูก ทอท.ฟ้อง 500 ล.

 

นอกจากนี้ พล.ต.จำลองยังกล่าวถึงกรณีการปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ว่า เข้าใจได้ว่า พล.ต.อ. พัชรวาทไม่ทำตามที่รัฐบาลต้องการได้อย่างเต็มที่ เพราะสัญญาณจากการประกาศภาวะฉุกเฉินที่ผ่านมา ทำให้ทหารมีบทบาทในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้เป็นอะไรที่แปลกมากที่ให้ตำรวจเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น รวมทั้งกรณีที่การท่าอากาศยานฟ้องร้องค่าเสียหายแกนนำพันธมิตรฯจากการปิดสนามบิน 2 แห่ง เป็นเงินกว่า 500 ล้านบาท ว่าเงินจำนวนดังกล่าวเยอะมาก แต่การดำเนินการก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

 

โกวิทเปิดช่องเจรจาล่มถึงเข้าสลาย

 

ในฝ่ายของคณะกรรมการตามประกาศพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เวลา 08.50 น. ที่ บช.น. พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานคณะกรรมการฯเดินทางมาประชุมร่วมกับ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง นายตำรวจระดับรอง ผบช.น. ผบก.น. 1-9 และผู้แทนทหาร ใช้เวลาประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง โดย พล.ต.อ.โกวิทตอบข้อซักถามเรื่องการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯก่อนเดินทางกลับว่า ต้องดูว่าเขาจะเจรจาด้วยไหม แต่ถ้าเขาไม่เจรจา ก็ต้องทำ

 

รักษาการ ผบ.ตร.นั่งสรุปสถานการณ์

 

ส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมข่าวและติดตามสถานการณ์การชุมนุมประท้วง โดยมี พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร.มค. พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต ที่ปรึกษา (สบ 10) เทียบเท่า รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.เอก อังสนานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก. พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผบช.ส.เข้าร่วมประชุม โดย พล.ต.อ.ปทีปมีคำสั่งกำชับให้ ศปก.ตร.เพิ่มความเข้มในการติดตาม และวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้กับ ผบ. เหตุการณ์ทั้ง พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 เนื่องจากสถานการณ์การชุมนุมอยู่ในระดับความเข้มที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ มีรายงานว่า วันที่ 30 พ.ย. พล.ต.ท. พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. จะทำหน้าที่แถลงข่าวเกี่ยวกับมาตรการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับกลุ่มผู้ชุมนุม

 

ตั้ง อัศวินรับผิดชอบม็อบ

 

มีรายงานข่าวว่า การประชุมร่วมกันของ พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย และ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร. เกี่ยวกับการเข้ายึดพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง จากกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นผู้รับผิดชอบ มี พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 ทำหน้าที่ ผบ.เหตุการณ์ ซึ่งระดับหัวหน้าที่ชุดปฏิบัติการของ บช.น. บช.ภ.1 บช.ตชด. บช.ส.ต่างยืนยันว่า ขณะนี้ตำรวจไม่มี ความพร้อมในการเข้าสลายการชุมนุม เนื่องจากขาดกำลัง และอุปกรณ์ในการควบคุมฝูงชน พร้อมทั้งยกเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. ที่ตำรวจจำเป็นต้องเปิดทางให้ มีการประชุมสภาผู้แทน จนต้องมีการตั้งกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทุกคนต้องการให้ใช้กำลังทหารเข้าร่วม จนต้องประชุมร่วมกันหลายรอบ แต่ไม่ได้ข้อยุติ เพราะเสียงส่วนใหญ่ค้านที่จะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม

 

หวั่นขนบึมเข้าสนามบิน

 

ด้าน พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผบช.ส.กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นฝ่ายรุกเข้ามา มีการปลุกระดมทำลายทรัพย์สินของคนอื่น และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยหลักการทำงานจะไม่พยายามเข้าไปใกล้จุดที่มีการชุมนุมเพื่อไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมมีจิตใจรุกรบ จะทำให้เกิดปัญหา สถานการณ์ขณะนี้คิดว่าต้องรอไปก่อน แต่ได้กำชับทุกหน่วยตรวจสอบเส้นทางลำเลียงเครื่องไม้เครื่องมือของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่อาจจะนำมาใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ขัดขวาง รวมทั้งเพิ่มความเข้มในการตรวจค้นเรื่องของวัตถุระเบิดและวัตถุสงครามเพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์รุนแรง

 

จับตาใกล้ชิดการ์ดพันธมิตร

 

ผู้สื่อข่าวถามถึงคำสั่งการสลายการชุมนุม พล.ต.ท. ธีระเดชกล่าวว่า ไม่ได้มีคำสั่งให้สลายกลุ่มผู้ชุมนุม ต้องทำความเข้าใจว่า ขณะนี้ไม่ใช่การสลายการชุมนุม ไม่ใช่ การเข้าไปลุยกับกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่ได้เข้าไปลุยกับม็อบ แต่เป็นมืออาชีพ เพราะจากการติดตามขั้นตอนการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ มีการทำงานแบบมืออาชีพ มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะเข้าไปทำอะไรได้ โดยเฉพาะกลุ่มนักรบที่เป็นการ์ดของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีการปิดบังพรางหน้าได้กำชับให้ตำรวจสันติบาลจับตาการเคลื่อนไหวเป็นพิเศษ รวมทั้งกลุ่มมือที่สามที่ฉวยโอกาสเข้ามาสร้างสถานการณ์


เตรียมรถยกจอด 54 ทางแยก

 

เวลา 12.45 น. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. ในฐานะรองโฆษก บช.น. แถลงว่า มีเรื่องเร่งด่วน 3 เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง คือ เรื่องแรก แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯกำหนดมาตรการเพิ่มเติมว่า หากเจ้าหน้าที่เข้าไปผลักดันผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ก็จะตอบโต้มาตรการแรก ด้วยการนำรถจอดกีดขวางทางร่วมทางแยกสำคัญทั่วกรุงเทพฯ จะทำให้กรุงเทพฯเป็นอัมพาต สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างที่สุด ไม่แน่ใจว่าคิดได้อย่างไร แค่คิดก็ผิดแล้ว เพื่อที่จะให้บรรลุเงื่อนไขอะไรก็ไม่รู้ ตรงนี้คงยอมไม่ได้ พล.ต.ท.สุชาติได้ออกหนังสือไปยัง บก.น.1-9 ให้เตรียมความพร้อม นำรถยกไปจอดตามทางร่วมทางแยกสำคัญในกรุงเทพฯ ซึ่งมี 54 แยก และจัดตำรวจประจำ ถ้ามีคนกระทำการดังกล่าว ให้จับกุมและยึดรถ เป็นความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 229 ผู้ใดกระทำการใดๆในทางสาธารณะ ประตูน้ำ ทำนบ หรือทางขึ้นลงของอากาศยานอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจร เอารถไปจอดขวางอย่างเมื่อตอนดึกคืนที่ผ่านมา ถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้า มี 4 ช่องทาง เอารถไปจอดขวาง 3 ช่องทางตรงจุดมืดๆ รถวิ่งมาก็ชน ถือเป็นการกระทำที่ผิดตามนี้ ผู้กระทำมีความผิดจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและถูกยึดรถด้วย

 

ขอร้องอย่าไปถึงขั้นก่อการร้าย

 

รองโฆษก บช.น.กล่าวอีกว่า  ไม่อยากพูดว่าเป็นกองโจร เมื่อวานพูดว่าก่อการร้ายผู้สนับสนุนก็ผิดด้วย ใครส่งเงินให้ก็ผิด แล้วจะโดนกฎหมายฟอกเงิน ท้ายที่สุดเชื่อว่าต้องมีการดำเนินคดี ขณะนี้แทนที่เจ้าหน้าที่จะไปสลายการชุมนุมกลายเป็นว่าผู้ชุมนุมสลายเจ้าหน้าที่ ฝากวิงวอนอย่าพัฒนาไปถึงตรงนั้น ท้ายที่สุดมันต้องเลิก ไม่เลิกก็ไม่ได้

 

เตือนคนเสื้อแดงอย่าก่อหวอด

 

พล.ต.ต.อำนวยกล่าวต่อว่า เรื่องที่สองจะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 30 พ.ย. เวลา 16.00 น.ที่ท้องสนามหลวง ขอเตือน และวิงวอนว่าจะออกมาเคลื่อนไหวต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย มาตรา 63 ชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธอย่างแท้จริง มาตรฐานเดียวกัน และอย่าเคลื่อนย้ายไปใกล้เคียงกัน พอมีปัญหาเจ้าหน้าที่ไม่พอ เอาไม่อยู่แล้วจะมาโทษว่าเจ้าหน้าที่ไม่ทำอีก ก็พยายามห้ามปรามไว้ก่อนอยู่คนละจุด

 

ยันม็อบยั่วยุตำรวจใช้ความรุนแรง

 

รองโฆษก บช.น. กล่าวอีกว่าเรื่องสุดท้ายกำลังตรวจสอบอยู่ว่า จะมีการใช้กำลังพันธมิตรฯไปปิดล้อม สภ.ราชาเทวะ จ.สมุทรปราการ แสดงว่าพยายามยั่วยุ ทำหลายแบบ ถนนวิภาวดีรังสิต มี 4 ช่อง เขาปิด 3 ช่อง ชาวบ้านรถติดกัน มีคนขนมะพร้าวจากตลาดไทเข้ามาตลาดนัดจตุจักร มาไม่ได้โกรธ เอามะพร้าวขว้างใส่กลับถูกยิง และมีชาวบ้านไม่พอใจขึ้นไปอยู่บนสะพานลอย ถูกยิงมาจากข้างใน พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 ยืนยันว่ามีเหตุการณ์จริง ชาวบ้านต้องแตกตื่นวิ่งหนี ตนยังกังวลกับเจ้าหน้าที่ที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอันตราย เพราะติดอาวุธแล้ว จากที่เห็นเป็นกระบองเหล็กก็ไม่ใช่แล้ว กลายเป็นอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ และหลังจาก พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.3 มาแถลงข่าว เมื่อเช้านี้ด่าน บก.น.3 ที่ สน.ลาดกระบัง ถูกกลุ่มพันธมิตรฯตีแตก นี่มันรบทัพจับศึกหรืออะไร เพื่อต้องการไม่ให้ตำรวจตั้งด่านสกัดตรวจค้นการลำเลียงอาวุธเข้าไป มันปราศจากอาวุธตรงไหน แล้วมายั่วยุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่ก็อดทนกัดลิ้นอยู่ ไม่ใช้ ความรุนแรงเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นจะติดบ่วง

 

เชิญคณะกรรมการมาดูงานตำรวจ

 

รองโฆษก บช.น.กล่าวอีกว่า พล.ต.ท.สุชาติได้ทำหนังสือตั้งแต่วันที่ 23 พ.ย. เชิญคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิฯ ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องทุจริตและเสริมสร้างจริยธรรมวุฒิสภา หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประธานกรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร ประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ นายกสภาทนายความแห่งประเทศไทย ประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐสภา และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคง แห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ให้มาดูการทำงานของตำรวจ ถ้ายังไม่มาขอให้รีบไปดูที่ สภ.ราชาเทวะ พันธมิตรฯจะไปปิดล้อมแปลว่าอะไร จะไปตัดน้ำตัดไฟ จะไปบุกที่นั่นที่นี่ ขออย่าไปทำกับประชาชน อย่าใช้รถปิดทางแยก ให้มาทำกับตำรวจแทน ตำรวจจะแบกรับความทุกข์ไว้แทนประชาชน

 

เตรียมออกประกาศฉบับที่ 2

 

พร้อมกันนี้ รองโฆษก บช.น.ยืนยันว่าตำรวจกำลังร่างประกาศฉบับที่ 2 เป็นเนื้อหา ว่าจะห้ามอะไรบ้าง ห้ามเข้าห้ามออก ออกได้ห้ามเข้า ห้ามรถผ่าน แต่ยังไม่ประกาศถึงขนาดเคอร์ฟิว เพราะกลัวประชาชนจะเดือดร้อน คงจะเล่นเฉพาะวงแคบๆก่อน ซึ่งเป็นอำนาจของ ผบช.น.ใน 2 เขต คือดอนเมือง และลาดกระบัง ประกาศตรงนี้จะเป็นกฎหมาย จะถูกบังคับโดย พ.ร.ก.ตามมาตรา 9 และมาตรา 11 มั่วสุมกันตั้งแต่ 5 หรือ 10 คน ก็อาจถูกจับได้ แล้วแต่ ผบช.น.กำลังพิจารณาว่าจะใช้ 5 หรือ 10 เพราะในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ ผบช.น.พิจารณาตามความเหมาะสม ตามสถานการณ์ เป็น พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน คือต้องแก้แบบเร่งด่วน แต่อย่างไรก็แล้วแต่ต้องมีขั้นตอน จากขอร้องวิงวอน ขอความร่วมมือและออกเป็นคำสั่งแล้วปฏิบัติการ ซึ่งถ้าไม่ยอมกันก็ต้องผลักดัน เดี๋ยวกองทัพจะต้องเข้ามาร่วมด้วย อย่างไรก็ดี รองโฆษก บช.น.ยืนยันว่า ตำรวจคงไม่ไปปิดเอเอสทีวี หากจะปิดต้องเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจ

 

ตรวจจับอาวุธ พธม.ได้อื้อ

 

ในด้านกองกำลังผสม บช.ภาค 1 และกองร้อยควบคุมฝูงชน หน่วยนาวิกโยธิน สังกัดกองทัพเรือ ภาคที่ 1 ที่ตั้งด่านสกัดรถยนต์และตรวจค้นอาวุธ ที่จะเข้าสู่ สนามบินสุวรรณภูมิ ทุกเส้นทาง และจับกุมตรวจยึดอาวุธเป็นจำนวนมากมาตั้งแต่เช้า ได้แก่ อาวุธปืนพกจำนวน 3 กระบอก มีดดาบ ท่อนไม้ คมแฝก ท่อนเหล็กตัดปลายแหลม หัวนอต ลูกแก้ว และตะปูเรือใบอีกกว่า 10 กก. และยังพบกลุ่มผู้ชุมนุมพยายามซุกซ่อนอาวุธเข้าไปภายในสนามบินสุวรรณภูมิอีกเป็นจำนวนมากตลอดเวลา ซึ่งต่อมาในเวลา 09.30 น. ศูนย์วิทยุ สภ.ราชาเทวะ ได้แจ้งทุกหน่วยในพื้นที่ที่ปิดเส้นทางการจราจรเข้าสู่ สนามบินสุวรรณภูมิ ว่าผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 มีคำสั่งให้ทุกหน่วยเปิดการจราจร ภายหลังถูกกลุ่มผู้ชุมนุมนำกำลังเข้าปะทะกับตำรวจบริเวณถนนกิ่งแก้ว จนตำรวจต้องล่าถอย ขณะที่โฆษกบนเวทีปราศรัยได้ระดมให้ ผู้ชุมนุมนำรถยนต์ส่วนตัวอย่างน้อย 50 คัน ออกไปช่วยปิดกั้นถนน เพื่อเสริมแนวป้องกันการนำกำลังเข้าสลายการชุมนุม ต่อมาเวลา 10.40 น. ศูนย์วิทยุ สภ.ราชาเทวะ มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกด่านตรวจอีกครั้ง และให้ใช้รถยนต์ เพื่อปิดทางเข้าออกสนามบินสุวรรณภูมิทุกทาง คาดว่า เพื่อเป็นการป้องกันการบุกฝ่าด่านตรวจของกลุ่มพันธมิตรฯ

 

ผบช.ภ.1 ยันไม่ใช้ความรุนแรง

 

ด้าน พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 ที่เข้าร่วมประชุมกับ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.1 และนายตำรวจระดับสูง ที่ สน.ลาดกระบัง ซึ่งมีการวิเคราะห์ สถานการณ์การชุมนุมภายในสนามบินสุวรรณภูมิว่า มีจำนวนผู้ชุมนุมเพิ่มมากขึ้น ทำให้ยากลำบากต่อการสลายการชุมนุม ซึ่ง ผบช.ภ.1 ย้ำในที่ประชุมว่าให้หลีกเลี่ยงการปะทะ ให้ใช้ความละมุนละม่อมต่อผู้ชุมนุม ส่วนการดำเนินการมาตรการอย่างอื่น ต้องรอทางผู้ใหญ่อีกครั้ง

 

เสื้อแดงนัดรวมพลสนามหลวง

 

ด้านการรวมพลของคนเสื้อแดงที่ประกาศจุดยืนมาตลอดว่าเพื่อต่อต้านการตบเท้าของทหารออกมาทำรัฐประหาร โดยในช่วงสายวันเดียวกัน ที่สถานีโทรทัศน์พีทีวี ภายในห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ คณะผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ ประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายก่อแก้ว พิกุลทอง แถลงข่าวการนัดชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดง โดยนายวีระกล่าวว่า วันที่ 30 พ.ย. เวลา 16.00 น. ที่สนามหลวง จะมีการตั้งเวทีชุมนุมใหญ่เพื่อต่อต้านเผด็จการ จึงขอเชิญชวนประชาชนที่รักประชาธิปไตยมาร่วมชุมนุมในวันดังกล่าว ถ้าเป็นไปได้ให้นำเสื้อผ้าติดตัวมาด้วยเผื่อต้องนอนค้างคืน ส่วนการตั้งเวทีชุมนุมจะนานเพียงใด จะต้องประเมินสถานการณ์เป็นวันๆไป การชุมนุมครั้งนี้จะอยู่ที่สนามหลวงอย่างเดียว ไม่เคลื่อนขบวนไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ และจะไม่มีการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่อย่างใด

 

แฉแผนยืมมือศาล รธน.โค่นรัฐบาล

 นายวีระกล่าวอีกว่า วัตถุประสงค์ของการชุมนุมครั้งนี้คือ 1. ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานในสนามบินสุวรรณภูมิ 2. ต่อต้านการรัฐประหารแบบซ่อนรูป เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงปิดคดียุบพรรคในวันที่ 2 ธ.ค. คาดว่าจะมีการอ่านคำวินิจฉัยในวันดังกล่าวด้วย ทราบว่าเรื่องนี้เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างคนลึกลับที่ไปเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯว่า จะใช้มาตรการทางศาลมาล้มรัฐบาล เพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งตรงกับที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯพูดบนเวทีว่าวันที่ 2 ธ.ค. ทุกอย่างจะจบสิ้น ถือเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เป็นการตั้งธงล้มรัฐบาลด้วยวิธีแยบยลเรียกว่าการรัฐประหารซ่อนรูป

แจ้งเปลี่ยนที่นัดเป็นลานคนเมือง

 

ต่อมาในช่วงเย็น เจ้าหน้าที่ประจำรายการความจริงวันนี้ได้ส่งเอสเอ็มเอสแจ้งผู้สื่อข่าวว่า  ขอเปลี่ยนสถานที่นัดหมายรวมพลคนเสื้อแดง จากที่สนามหลวงมาเป็นที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานครแทน เนื่องจากพื้นที่สนามหลวงขณะนี้ยังคงมีการจัดนิทรรศการ เกี่ยวกับงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จ พระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ เป็นวันสุดท้าย ซึ่งคาดว่าจะมีคนเข้าชมเป็นจำนวนมาก จึงไม่สะดวกในการไปรวมพลในพื้นที่ดังกล่าว

 

ส.ส.พปช.คุยเกณฑ์เสื้อแดง 2 ล้าน

 

ขณะเดียวกัน นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเตรียมพลคนเสื้อแดงที่กำหนดให้ ส.ส. 1 คนระดมคนเสื้อแดงให้ได้ อย่างน้อย 2 หมื่นคน เพื่อเตรียมเคลื่อนเข้า กทม.ถ้ามีการรัฐประหารว่า วันที่ 30 พ.ย.นี้ ส.ส.ร้อยเอ็ด 7 คนของพรรคพลังประชาชนได้เรียกแกนนำที่เป็นหัวคะแนนทั้งจังหวัดประมาณ 500 คน ไปประชุมกันที่โรงแรมเพชรรัตน์ ขณะเดียวกัน ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่อยู่จังหวัดอื่นก็เริ่มเรียกประชุมหัวคะแนนในจังหวัด เพื่อซักซ้อมเตรียมความพร้อม หลังจากประชุมเสร็จแกนนำจะไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เตรียมต่อต้านรัฐประหาร ถ้าเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นพวกเราจะเคลื่อนพลพร้อมกันทุกจังหวัดมุ่งเข้า กทม.ไปรวมกับคนขับแท็กซี่ที่มีประมาณ  1  หมื่นคัน  ตั้งเป้าจะรวมพลคนเสื้อแดงครั้งนี้ประมาณ 2 ล้านคน พวกเราต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด เนื่องจากการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ไม่ปกติ ยอมกันไม่ได้ ดังนั้นนายทหารที่นำปฏิวัติครั้งนี้มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นกบฏ เพราะพ่ายแพ้คนเสื้อแดง


สุขุมพงศ์รอสัญญาณเจรจา พธม.

 

ต่อมา นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็นตัวแทนไปเจรจากับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าเลขาธิการนายกฯ แจ้งเรื่องให้ทราบแล้ว คงเป็นการมอบในหลักการกว้างๆ ว่าหากจะมีอะไรก็จะให้เป็นตัวแทนนายกฯ แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มต้นประสานงานเพื่อการเจรจา และนายกฯ ยังไม่ได้ส่งสัญญาณเรื่องดังกล่าวมาแต่อย่างใด ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่าพร้อมจะเจรจา แต่ต้องเจรจากับนายกฯ เท่านั้น นายสุขุมพงศ์ ตอบว่า ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณอะไรชัดเจน แต่สถานการณ์ถึงขณะนี้เชื่อว่าเราคงจะคุยกันได้

 

กสม.แนะวิธีพบกันครึ่งทาง

 

ส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในช่วงบ่าย นายเสน่ห์ จามริก ประธาน กสม. พร้อมด้วยนางสุนีย์ ไชยรส กรรมการ กสม. และนายวีรวิทย์ วีรวรวิทย์ รองเลขาธิการ กสม. เปิดแถลงข่าวด่วน ปฏิเสธข่าวที่ตำรวจระบุว่า กสม.จะเป็นคนกลางเจรจาระหว่างตำรวจกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยนางสุนีย์ กล่าวว่า กสม. ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็น คนกลางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรฯ กรณีนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงและตัดสินใจของทั้งสองฝ่าย กสม.ยินดีที่จะร่วมรับฟังการตกลงดังกล่าว ขอเรียกร้องให้รัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯ เป็นผู้ริเริ่มในการหารือ ที่ผ่านมานายกฯ บอกว่ายินดีเจรจา แต่สุดท้ายคนที่เจรจากลับเป็นตำรวจหรือคนอื่น ไม่ใช่นายกฯ ทั้งนี้ในการพูดคุยกันระหว่างรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรฯ จะต้องไม่ใช้คำว่า เจรจาแต่ต้องเป็น การ หารือและต้องไม่ใช่เป็นการยื่นคำขาดให้กลุ่มพันธมิตรฯสลายการชุมนุมหรือออกจากสถานที่ใด รวมทั้งสถานที่ในการพูดคุยดังกล่าว ต้องเป็นที่สำนักงานกสม.เท่านั้น การหารือต้องกระทำโดยเปิดเผยและโปร่งใส

 

ผวาถูกลากเป็นพยานสลายม็อบ

 

ด้าน นายเสน่ห์ จามริก ประธาน กสม.ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีตำรวจให้ข่าวว่าได้ทาบทามให้นายเสน่ห์ เป็นคนกลางร่วมเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า ยอมรับว่ามีการติดต่อมาจากตำรวจตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พ.ย.จนถึงเช้าวันเดียวกันนี้แต่ได้ปฏิเสธไป เนื่องจากไม่ใช่ถือเป็นการเจรจา แต่ต้องการเชิญ กสม.ไปร่วมสังเกตการณ์การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราไม่รู้ว่าตำรวจจะปฏิบัติการอะไร เราไม่ต้องการไปเป็นพยานในเหตุการณ์

 

ข่าวที่ทางตำรวจออกไปว่ากสม.รับปากจะเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนเที่ยงวันนี้ ไม่เป็นความจริง เพราะสถานการณ์เช่นนี้มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง กสม.ต้องระมัดระวังท่าที เกรงว่าการกระทำบางอย่างอาจจะซ้ำเติมสถานการณ์ เหมือนเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟนายเสน่ห์ กล่าว

 

ขณะที่ นายวีรวิทย์ ก็กล่าวเสริมว่า ขอเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงกับประชาชน โดยเฉพาะการสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา จะทำได้ต่อเมื่อมีเหตุ รุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตเท่านั้น

 

สภาทนายยันมีความเป็นกลาง

 

อีกด้านหนึ่งที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ เรียกประชุมประธานสภาทนายความประจำศาลจังหวัดทั่วประเทศรวม 120 คน เพื่อประชุมกำหนดท่าทีของสภาทนายความต่อกรณีมีทนายความคนหนึ่งยื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ว่าการที่สภาทนายความออกแถลงการณ์ตำหนิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและขัดวัตถุประสงค์ของสภาทนายความรวม กับขอให้ถอดถอนนายกสภาทนายความออกจากตำแหน่ง การประชุมใช้เวลานาน 2 ชั่วโมง มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าแถลงการณ์ของสภาทนายความไม่ขัดวัตถุประสงค์สภาทนายความและมีความเป็นกลางแล้ว

 

อย่านำการอยู่ต่างแดนมาต่อรอง

 

นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่า การกระทำของสภาทนายความที่ตำหนิการโฟนอิน ถือว่าอยู่ในวัตถุประสงค์และเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแพร่กฎหมายให้ประชาชนรู้ถึงการใช้อำนาจของรัฐ ซึ่งมตินี้จะเสนอประธานคณะกรรมาธิการฯและรัฐมนตรียุติธรรมต่อไป และว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำเลยตามหมายจับศาล ออกมาโฟนอินว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งที่มีการดำเนินคดีจนเสร็จสิ้นแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เช่น การที่จะขอพระราชทานอภัยโทษผ่านทางจอภาพ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะมาต่อรอง ถือเป็นเรื่องมิบังควร ขนาดประเทศอังกฤษยังยอมรับคำพิพากษาศาลไทยถึงขนาดเลิกวีซ่า

 

กต.มะกันห่วงสถานการณ์ในไทย

 

ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ม็อบพันธมิตรฯบุกยึดสนามบินสองแห่งของไทย ก็เป็นที่สนใจของนานาชาติเกาะติดสถานการณ์ด้วยความใกล้ชิด โดยในวันเดียวกัน นายกอร์ดอน ดูกุยด์ รักษาการรองโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯรู้สึกห่วงใยอย่างยิ่งเกี่ยวกับการกระทำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  (พธม.)  ที่ได้ยึดสนามบินระหว่างประเทศและสนามบินในประเทศ อันเป็นการขัดขวางการเดินทางของบุคคลและการขนส่งสินค้า แม้สหรัฐฯจะเคารพสิทธิในการแสดงความคิดเห็น แต่การยึดสนามบินมิใช่วิธีประท้วงที่เหมาะสม จึงขอเรียกร้องให้ พธม.ถอนตัวออกจากสนามบินอย่างสงบ และหวังว่าสถานการณ์นี้จะสามารถคลี่คลายได้โดยไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นและเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย

 

อียูวอน พธม.ออกจากสนามบิน

 

ส่วนสหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้พันธมิตรฯยุติการปักหลักชุมนุมที่สนามบินทั้ง 2 แห่งเช่นกัน โดยเนื้อหาในแถลงการณ์ชี้แจงว่า คณะทูตอียูประจำราชอาณาจักรไทยเคารพสิทธิในการชุมนุมประท้วง และไม่ต้องการแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ แต่การกระทำของพันธมิตรฯเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทั้งยังก่อผลกระทบร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของไทย และทำให้ผู้โดยสารกว่า 100,000 คน ต้องเดือดร้อนจากการคมนาคมที่หยุดชะงัก จึงเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯออกจากสนามบินทั้ง 2 แห่งโดยเร็วที่สุด พร้อมกันนี้อียูได้เรียกร้องให้ชาวไทยทุกฝ่ายร่วมกันยุติความขัดแย้งในสังคมด้วยแนวทางสันติวิธี

 

สื่อนอกตีข่าวม็อบกร่างไล่ ตร.

 

นอกจากนี้ สื่อต่างประเทศหลายสำนักได้รายงานเหตุการณ์ในช่วงสายวันเดียวกันว่า ตำรวจตั้งด่านบริเวณทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อป้องกันมิให้ผู้ชุมนุมกลุ่ม พันธมิตรฯในบริเวณอื่นๆตามไปสมทบตามที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ประกาศไว้ก่อนหน้า ทว่า สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานเพิ่มเติม โดยอ้างอิงภาพข่าวจากสถานีโทรทัศน์ ของไทยระบุว่า ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯแสดงความโกรธแค้น และขับไล่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งยึดมีดขนาดใหญ่และ ไม้กอล์ฟที่ผู้ชุมนุมใช้เป็นอาวุธไป ทั้งยังพบรถบรรทุกของตำรวจจำนวน  5  คัน  ถูกเจาะลมยาง  และจอดทิ้งไว้ โดยไม่มีใครเข้ามาเคลื่อนย้าย

 

ยึดสวนสันติชัยปราการเปิดเวทีย่อย

 

ต่อมาในช่วงเย็น ผู้สื่อข่าวที่ไปสังเกตการณ์อยู่ ที่บริเวณบ้านพระอาทิตย์ ที่ตั้งสำนักงานเอเอสทีวี รายงาน ว่า หลังเกิดเหตุผู้ไม่ประสงค์ดียิงปืนใส่เอเอสทีวีเมื่อช่วง กลางดึกวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา แต่กระสุนติดตาข่ายที่ถูกขึงอยู่โดยรอบ ทำให้ไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆนั้น ทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ขอประกาศระดมคนเข้ามา ร่วมปกป้องสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และจากนั้นไม่นาน ก็มีมวลชนกว่า 600 คน ทยอยเข้ามารวมตัวที่สวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์ ตั้งเวทีปราศรัยโจมตีรัฐบาลนาย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อย่างร้อนแรง

 

ชาวเมืองกาญจน์หนุนเจรจา

 

ขณะเดียวกัน ก็มีรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่ม คนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงตามจังหวัดต่างๆ โดยที่ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี เครือข่ายประชาชนชาวกาญจนบุรี จำนวน 200 คน นำโดยนายยงยุทธ สีสันต์ กำนัน ต.ปากแพรก อ.เมืองกาญจนบุรี ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน อำเภอเมืองกาญจนบุรี ยื่นแถลงการณ์ต่อนายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี ผวจ.กาญจนบุรี โดยนายยงยุทธอ่านแถลงการณ์ ว่า ตามสถานการณ์เหตุการณ์บ้านเมืองที่มีการแตกแยกทางความคิด ทำให้เกิดปัญหาสังคม เศรษฐกิจ ในด้านต่างๆ ชาวกาญจนบุรีที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมส่วนใหญ่ และ เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ได้รับผลกระทบราคาพืชผลตกต่ำ จัดส่งพืชผลไม้ไปต่างประเทศไม่ได้ ขอให้ฝ่ายบริหารบ้าน เมืองหาทางยุติความขัดแย้งของทุกกลุ่ม เสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติ  ส่วนผู้ชุมนุมก็ขอให้หันหน้ามาเจรจาเพื่อหาทางยุติปัญหาร่วมกัน ถ้ารักในหลวงจริงต้อง ช่วยกันแก้ไขปัญหายุ่งยากให้จบสิ้นโดยเร็ว เพื่อในหลวงที่พวกเราชาวเมืองกาญจน์เทิดทูนเหนืออื่นใด  ซึ่งนายเริงศักดิ์ได้รับปากจะส่งหนังสือผ่านกระทรวงมหาดไทยเสนอให้รัฐบาลทราบ

 

ต้านม็อบเสื้อเหลือง-เสื้อแดง

 

ที่สนามกีฬากลางจังหวัดนครสวรรค์ ได้มีม็อบเสื้อ ขาวในเขตอำเภอเมืองนครสวรรค์ อ.เก้าเลี้ยว อ.โกรกพระ อ.ชุมแสง อ.พยุหะคีรี จำนวน 300 คน รวมตัวหน้าโรงยิม 4,000 ที่นั่ง เรียกร้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มคนเสื้อ เหลืองหยุดทำให้ประเทศชาติเดือดร้อน จากนั้นได้ขึ้นรถ กว่า 40 คัน แห่ไปรอบตัวเมืองนครสวรรค์ กระทั่งถึงสะพาน เดชาติวงศ์จึงพากันสลายตัว

 

พธม.เมืองคอนตั้งโลงขู่ตำรวจ

 

ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรฯ จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 200 คน มีความเคลื่อนไหวด้วยการนำโลงศพเขียนข้อความโจมตีรัฐบาลและระบอบทักษิณ มาตั้งหน้า บก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ถนนราชดำเนิน ต.คลัง อ.เมืองนครศรีธรรมราช ยื่นข้อเรียกร้องต่อ ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช 3 ข้อ คือ 1. ไม่ให้ส่งกำลังตำรวจไปสมทบกับตำรวจในกรุงเทพฯ เพื่อสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯในกรุงเทพฯ 2. ให้สั่งการให้ ผกก.สภ.ท่าศาลา เร่งจับกุมคนร้ายที่ยิงปืนข่มขู่นักศึกษาและคณาจารย์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา เหตุเกิดในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และ 3. ขอให้ ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช แจ้งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ให้ใช้กำลังสลายกลุ่มพันธมิตรฯที่ชุมนุมอยู่ในกรุงเทพฯ หากมีการใช้กำลังสลายการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรฯในจังหวัดนครศรีธรรมราช จะปิดล้อมสถานีตำรวจในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ทันที จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนย้ายไปยังศาลาประดู่หก สถานที่ ทำกิจกรรมของกลุ่มพันธมิตรฯ

 

คนเสื้อแดงปากน้ำรวมพล

 

ส่วนที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ ช่วงเย็นวันที่ 29 พ.ย. มีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนประมาณ 500 คน มารวมตัวกัน โดยมีการจัดตั้งเวทีปราศรัยโจมตีการปิดล้อมสนามบินทั้ง 2 แห่ง ของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งทำให้ประเทศชาติเสียหาย พร้อมเรียกร้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. นำกำลังทหารออกมาร่วมกับรัฐบาลจัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มพันธมิตรฯตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยนายประเสริฐ เด่นนภาลัย ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า การรวมตัวกันครั้งนี้เพื่อ ต่อต้านการรัฐประหาร จากเผด็จการทหารที่อาจเกิดขึ้น ขอย้ำว่าหากเกิดการรัฐประหารเมื่อใด ชาวเสื้อแดงนับ ล้านคนทั่วประเทศพร้อมพลีชีพปกป้องประชาธิปไตย ขณะเดียวกัน ขอให้กลุ่มพันธมิตรฯออกจากสนามบินสุวรรณภูมิโดยเร็ว เพราะการเข้ายึดสนามบินแห่งนี้เท่ากับเป็นการเหยียบย่ำหัวใจชาวสมุทรปราการทุกคน ทั้งนี้ ยืนยันว่าพวกตนจะชุมนุมโดยสงบ จะไม่ไปปิดล้อมกลุ่มพันธมิตรฯที่สนามบินสุวรรณภูมิแน่นอน เพราะไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง

 

คนเชียงใหม่คุ้มกันนายกฯ

 

ที่ จ.เชียงใหม่ ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 นำโดยนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ได้ ใช้วิทยุชุมชนระดมเรียกกลุ่มชาวเชียงใหม่ให้ใส่เสื้อสีแดง ออกมารวมตัวกันที่เวทีหน้าโรงแรมแกรนด์วโรรส (หลังวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร) พร้อมกับเปิดรับบริจาคจากชาวเชียงใหม่ เพื่อระดมทุนเป็นค่าใช้จ่าย มีชาวเชียงใหม่บางส่วนนำเงิน อาหาร และน้ำดื่มมาบริจาค โดยนายเป๋ คลองเตย กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้แบ่งกำลังคนเสื้อแดงออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะ ไปคุ้มกันนายกรัฐมนตรีที่บ้านพัก ในหมู่บ้านกรีนวัลเล่ย์ อ.แม่ริม เพื่อปกป้องไม่ให้มีการมาล็อกตัวนายกฯไปเซ็นหนังสือลาออกหรือให้ยุบสภา เพราะ จ.เชียงใหม่ ถือเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนายกฯสมชายในตอนนี้

 

ขู่ถ้าปฏิวัติจะยึดศาลากลาง

 

นายเป๋กล่าวต่อไปว่า ส่วนคนเสื้อแดงอีกกลุ่มจะไปปักหลักตั้งเวทีปราศรัยที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันขณะนี้ว่ามีกลุ่ม นปช.ทั่วภาคเหนือทยอยเดินทางมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 จำนวนมาก โดยจะใช้โรงแรมแกรนด์วโรรส เป็นศูนย์บัญชาการประสานงานกับเครือข่าย นปช.ทั่วประเทศ จึงเรียกร้องให้คนเชียงใหม่ออกมากันมากๆ เพราะถือว่าการต่อสู้ครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ชาวเชียงใหม่จะมาร่วมกันปกป้องระบอบประชาธิปไตย และหากมีการยึดอำนาจกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ก็พร้อมที่จะเข้ายึดศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ทันที จะไม่ยอมให้ทหารใช้อำนาจมาย่ำยีชาวบ้าน อีก ขณะที่ พ.ต.อ.ปิยะบุตร อัจฉริยมงคล ผกก.สภ.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ ได้จัดกำลังตำรวจ 2 กองร้อย ร่วมกับ กำลัง อส. ไปดูแลความเรียบร้อยที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกลุ่มเสื้อแดงทยอยเดินทางมาสมทบกันอย่างต่อเนื่อง

 

พธม.เชียงใหม่ผวาถูกปราบ

 

ด้านกลุ่มทหารเสือพระราชา เครือข่ายพันธมิตรฯเชียงใหม่ ซึ่งใช้สถานีวิทยุชุมชนวิหคเรดิโอ หมู่บ้านระมิงค์ นิเวศน์ ถนนทิพย์เนตร ต.หายยา อ.เมืองเชียงใหม่ ถ่ายทอดเสียงจากเอเอสทีวีมาออกอากาศตามปกติ แต่นายเทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา แกนนำกลุ่ม เดินทางไปร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ กทม. เหลือลูกน้อง 3-4 คน เฝ้าสถานีอยู่ บรรยากาศจึงมีแต่ความเงียบเหงา ชาวเชียงใหม่กลุ่มเสื้อเหลือง จากที่เคยมาร่วมชุมนุม ดูการถ่ายทอดสดผ่านจอโปรเจคเตอร์ ที่หน้าสถานีดังกล่าว กลับไม่มีใครมา เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย เพราะกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เคยประกาศว่าจะปราบปรามกลุ่มคนใส่เสื้อเหลืองในเชียงใหม่ ให้ราบคาบ แม้แต่เจ้าหน้าที่สถานีวิหคเรดิโอยังต้องเปลี่ยนมาใส่เสื้อสีดำแทน อ้างว่าเพื่อต้องการไว้ทุกข์ให้กับนายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนา พ่อของนายเทอดศักดิ์ ที่ถูกกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 รุมทำร้ายจนเสียชีวิตเมื่อวันก่อน ส่วน บริเวณทางเข้าหมู่บ้านระมิงค์นิเวศน์ พ.ต.อ.ยุทธชัย พัวประเสริฐ ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ นำกำลังตำรวจมาตั้งด่านตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้ง 2 กลุ่มยกพวกปะทะกันอีก

 

ผบช.ภ.1  ตั้งโต๊ะเจรจา พธม.

 

ส่วนบรรยากาศโดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ที่อลหม่านวุ่นวายมาตั้งแต่เช้า จากการที่ม็อบพันธมิตรฯ ระดมพลตอบโต้ตำรวจ ก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเมื่อมีกระแสข่าวว่าตำรวจจะเข้าสลายการชุมนุม โดยเวลาประมาณบ่ายสองโมง ที่ห้องประชุม สภ.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตพื้นที่ท่าอากาศสุวรรณภูมิ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และนายขวัญชัย วงศ์นิติกร ผวจ.สมุทรปราการ ร่วมกันแถลงข่าวการเจรจาไกล่เกลี่ยกับแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ โดย ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า จากการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อสรุป ให้เหตุการณ์ดังกล่าวยุติ ไม่ให้เกิดความรุนแรง ขณะนี้ได้ตัดสินใจจะมีการเปิดโต๊ะเจรจา เพื่อหาแนวทางยุติความวุ่นวายของผู้ชุมนุม และไม่ให้เกิดการปะทะกันขึ้นอีก โดยจะมี ผวจ. สมุทรปราการ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และ ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้าร่วมด้วย

 

ทหารจับมือตำรวจตรึงกำลัง

 

ผบช.ภ.1 กล่าวต่อไปอีกว่า อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่คงไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ เว้นแต่จะมีการตรึงกำลังประจำจุดสกัดที่มีการตั้งไว้ เพื่ออำนวยการให้แก่กลุ่มผู้ชุมนุม รวม 4 จุด รอบสนามบินสุวรรณภูมิ โดยได้ปฏิบัติตามประกาศข้อกำหนดการชุมนุมในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังจากที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตามมาตรา 9 ซึ่งได้คอยเฝ้าระวังไม่ให้มีผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย ทั้งทางร่างกายและทรัพย์สิน จึงต้องมีการตรึงกำลังเจ้าหน้าที่จาก บช.ภ.1 เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจราว 2,000 นาย ขณะที่ได้กำลังสนับสนุนจากทางกองทัพบก จำนวน 1 กองร้อย และกองทัพเรืออีก 1 กองร้อย

 

ใช้ถุงดำคลุมกล้องทั่วดอนเมือง

 

อีกด้านหนึ่ง ที่สนามบินดอนเมือง ปรากฏว่ามีผู้ ชุมนุมเข้ามารับฟังการปราศรัยบางตา ส่วนใหญ่พักผ่อนอยู่ในอาคารผู้โดยสารภายในประเทศขาเข้า กระทั่งเวลา 15.00 น. มีเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 ลำ บินวนสังเกตการณ์บริเวณพื้นที่ชุมนุม ทำให้การ์ดพันธมิตรฯ ที่วางกำลังบริเวณรอบพื้นที่นำกล้องส่องทางไกล มาสังเกตการณ์ ก่อนที่จะบินกลับไป ขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ต่างตื่นตระหนก พร้อมทั้งใช้มือตบมาเขย่าและตะโกนโห่ไล่ นอกจากนี้ ภายในอาคารผู้โดยสารขาเข้า ได้มีการเปิดใช้ห้องน้ำชั้น 2 เนื่องจากห้องน้ำชั้นล่างไม่ เพียงพอใช้บริการ โดยอนุญาตให้เฉพาะผู้หญิงขึ้นไปใช้บริการเท่านั้น นอกจากนี้ การ์ดพันธมิตรฯยังมีการนำถุงดำไปคลุมตรงจุดที่มีกล้องวงจรปิดทุกจุดในอาคารผู้โดยสารขาเข้า เพื่อไม่ให้กล้องบันทึกความเคลื่อนไหวของการชุมนุม นอกจากนี้ ยังได้แจ้งให้ประชาชนที่นำรถมาจอดไว้ภายในสนามบินดอนเมืองก่อนที่จะยึดสนามบิน สามารถเข้ามานำรถออกไปได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

 

ยันเสียงหนักแกนนำไม่แตกแยก

 

ต่อมาเวลา 15.40 น. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงการเจรจากับรัฐบาลว่า ยังคงยึดหลักให้นายกรัฐมนตรีลาออกก่อนถึงจะมีการเจรจา ถ้ารัฐบาลไม่ลาออกพรรคประชาธิปัตย์ก็ควรลาออก เพื่อให้รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ ซึ่งหากรัฐบาลลาออกสถานการณ์ ต่างๆ จะคลี่คลายลง ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาพูดว่า ให้พันธมิตรฯออกจากสนามบินทั้ง 2 แห่ง เพราะทำผิดกฎหมาย อยากถามว่าใครทำผิดกฎหมายกันแน่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณหนีคดีอาญาผิดกฎหมายหรือไม่ นอกจากนี้ วันที่ 30 พ.ย.นี้ กลุ่ม นปช.จะรวมตัวต้านพันธมิตรฯ และกดดันการตัดสินคดียุบพรรคของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนที่มีข่าวว่าแกนนำพันธมิตรฯ เสียงแตกนั้น  ขอย้ำว่าแกนนำ ไม่มีการแตกแยกล้านเปอร์เซ็นต์

 

ไม่สน ตร.ออกแถลงฉบับ 2

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะทำให้พันธมิตรฯออกจากสนามบินหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เคยสนใจเลย เพราะมันไม่ใช่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่เป็น พ.ร.ก.ฉุกละหุก เพื่อสำเร็จความงมงายในอารมณ์ ของตัวเอง หากคิดจะปราบประชาชนเราพร้อมจะสู้

 

ขณะนี้รัฐบาลไม่มีความชอบธรรม ไม่มีอำนาจ เป็นรัฐบาลเถื่อนและหน้าด้านสุดๆ ส่วนตำรวจได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เพื่อจัดการกับพันธมิตรฯนั้น ตนไม่สนใจและไม่กลัว เป็นเพียงเศษกระดาษเปื้อนน้ำหมึกจะประกาศอีกกี่ฉบับก็ได้

 

บอกไม่ได้จะชุมนุมถึงวันเฉลิมฯ

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะชุมนุมถึงวันที่ 5 ธ.ค. หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะจบลงเมื่อใด ยุทธการจะเข้มข้นเรื่อยๆ ส่วนจะยืดเยื้อถึงงานพระราชพิธีหรือไม่ ต้องหารือแกนนำก่อน ตนเชื่อว่า ความจงรักภักดีอยู่ที่จิตใจ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณ เพราะบางคนพูดไปแล้วไม่ยอมปฏิบัติ ส่วนยุทธวิธีดาวกระจายจะยังคงมีต่อไป แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะไปที่ใด ส่วนเรื่องผลการสำรวจที่ออกมาว่า ความนิยมของกลุ่มพันธมิตรฯลดลงหลังจากปิดสนามบินนั้น ตนคิดว่าเป็นเพียงผลสำรวจเฉพาะคนบางกลุ่ม จึงอยากให้มาสำรวจประชาชนที่เข้าร่วมกับพันธมิตรฯบ้าง การทำโพลถือเป็นการทำที่ห่วยแตก

 

โบ้ยเศรษฐกิจพังเพราะรัฐบาล

 

ส่วนผลกระทบจากการยึดสนามบิน ส่งผลให้ ประเทศเสียหายมากนั้น แกนนำพันธมิตรฯกล่าวว่า ถือเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการกระทำของรัฐบาล ที่เข้ามาด้วยวิธีการโกงและซื้อเสียง ถ้ารัฐบาลไม่ยอมแก้ปัญหา ทางกลุ่มพันธมิตรฯยังคงจะชุมนุมต่อไป ทั้งนี้ ตนเชื่อว่ารัฐบาลพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบพรรค แต่ยังคงมีความพยายามขนมวลชนเข้ามาต่อต้านการตัดสินของศาล เมื่อเป็นเช่นนี้จะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ขอให้ประชาชนเข้าใจ เป็นเพราะรัฐบาลเป็นตัวก่อกำหนดวิกฤติในสังคมขณะนี้

 

ระดมคนไปล้อมบ้าน โกวิท

 

ต่อมาเวลา 16.52 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขี้น ประกาศบนเวทีทำเนียบรัฐบาล ปลุกระดมให้ผู้ชุมนุมโชว์มวลชนด้วยการเคลื่อนขบวนดาวกระจายไปบ้านนายตำรวจ ที่จ้องเล่นงานผู้ชุมนุม โดยมีรถบรรทุก 7 คัน จุได้ 350 คน ส่วนใครมีรถตู้จะตามไปก็ได้ ไปสัก 150 คน รวมแล้วอย่าให้เกิน 500 คน ซึ่งจะมีนายศิริชัย ไม้งาม แกนนำพันธมิตรฯรุ่นสอง เป็นผู้นำไป ซึ่งต่อมามีรายงานข่าวว่า นายตำรวจที่ พล.ต.จำลองสั่งมวลชนไปล้อมบ้านก็คือ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย

 

กลับลำดาวกระจายกะทันหัน

 

กระทั่งเวลา 19.00 น. ที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ แถลงข่าวรอบค่ำว่า ขณะนี้ยังไม่มีการประสานมาจากนายสมชาย ในการเจรจาแต่อย่างใด นอกจากนี้ก็ยังยืนว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พล.ต.จำลองไม่ได้มีปัญหาความเป็นเอกภาพในเรื่องการเจรจากับรัฐบาล ตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้า ส่วนการที่จู่ๆ แกนนำได้ตัดสินใจยกเลิกการเคลื่อนขบวนไปเยี่ยมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในช่วงเย็นที่ผ่านมาแล้ว เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากทราบว่ามีการจัดตั้งกลุ่มคนเสื้อแดงดักทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ระหว่างเดินทาง ส่วนการสลายม็อบนั้น ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการตั้งด่านเพื่อสกัดไม่ให้ กลุ่มผู้ชุมนุมไปสมทบ ทางกลุ่มฯอาจต้องใช้มวลชนมาสลายกำลังตำรวจเช่นกัน

 

กองกำลังมีปืนยกพลถล่มโรงพัก

 

เมื่อเวลา 21.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบจลาจลหลายร้อยนายรวมพลกันอยู่หน้า สภ.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อรอเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก จ.สิงห์บุรี พร้อมรถยนต์ควบคุมผู้ต้องหาและรถตู้ เตรียมนำไปสับเปลี่ยนกำลังรักษาความปลอดภัยส

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์