จตุพร-วีระบินฮ่องกงจ๊ะเอ๋สนธิลิ้มแสร้งไม่รู้จัก เสธ.แดงไม่วายขู่พธม.ให้รีบออกจากทำเนียบก่อนเจอบึ้ม


"สมชาย"พลิ้วบอกหลัง16พ.ย.ไม่มีเหตุรุนแรง แค่ข่าวลือ ทัพบกสอบเครียด"เสธ.แดง"3ชม.พูดทำผบ.ทบ.เสียหาย ขู่ยังดื้อฟันอาญาทหารตัดออกพ้นกองทัพ เจ้าตัวยังไม่หยุดฮึ่มใส่พธม.อีกไม่ออกทำเนียบ19พ.ย.เจอระเบิดแน่ ปล่อยข่าวตั้ง"พัลลภ"นั่งรองผอ.รมน.ลุยพันธมิตร "จตุพร-วีระ"บินฮ่องกงพบ"ทักษิณ"นั่งลำเดียวกับ"สนธิ ลิ้มทองกุล" แกนนำพปช.-อดีตกก.บห.ทรท.เผย"แม้ว"สู้ต่อไปเพื่อกลับไทย

 
นายกฯพลิ้วบอกเหตุรุนแรงแค่ข่าวลือ
 
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชื่อหลังงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ไม่น่าจะมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น โดยให้สัมภาษณ์ที่ห้องวีไอพี ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายหลังเดินทางกลับจากประเทศอินเดีย เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 14 พฤศจิกายน ถึงกระแสข่าว หลังวันที่ 16 พฤศจิกายนจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นว่า เรื่องความรุนแรง ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ แต่ขอให้ชาวไทยไม่ว่าใครก็ตาม ช่วยกันดูแลอย่าให้เกิดความรุนแรง เพราะไม่มีผลดีกับใครทั้งนั้น ไม่ว่าฝ่ายผิด หรือถูก ปัญหาที่เกิดขึ้นมีกระบวนการที่จัดการอยู่ ตัวบทกฎหมายมีอยู่ครบถ้วน ถ้าไม่ปฏิบัติจะมีปัญหา
 
"เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายกำชับให้ดูแลเป็นพิเศษในช่วงนี้ ยังอยู่ในระหว่างงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ อยากให้ทุกคนร่วมจิตร่วมใจกันถวายความจงรักภักดี ไว้อาลัยแสดงความสงบเพื่อแสดงความจงรักภักดีมากกว่าที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย  เชื่อว่าหลังจากนี้ไม่น่าจะมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น  อยากให้ทุกคนรักชาติ ทำให้บ้านเมืองสงบดีกว่า"
 
ผู้สื่อข่าวถามว่าด้านการข่าวมีหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ไม่มีอะไร ไม่ได้ข่าวอะไรเป็นพิเศษมีแต่ข่าวลือ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน นายสมชายเคยให้สัมภาษณ์ว่า ถึงข่าวกรองระบุหลังวันที่ 16 พฤศจิกายนจะมีเหตุรุนแรง ว่า "รู้สึกเป็นห่วง แสดงว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเอาอาวุธผิดกฎหมายเข้ามา ซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน แต่ได้กำชับตำรวจให้เคร่งครัด"

ทัพบกสอบเครียด"เสธ.แดง"3ชม.

ที่กองบัญชาการกองทัพบก เวลา 10.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการสอบสวนที่กองทัพบกตั้งขึ้น ภายหลังจากพล.อ.อนุพงษ์  เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) สั่งให้สอบสวนทางวินัยและทางอาญาทหาร กรณีที่ พล.ต.ขัตติยะให้สัมภาษณ์ประเด็นที่ทำให้สังคมเกิดความวิตกกังวล รวมทั้งกล่าวพาดพิง ผบ.ทบ.ด้วย โดยมี พล.ท.พิรุณ แผ้วพลสง รองเสนาธิการทหารบก เป็นประธานสอบ ใช้เวลา 3 ชั่วโมง
 
พล.ต.ขัตติยะเปิดเผยว่า คณะกรรมการสอบสวนตั้งคำถาม 22 ข้อ ที่เกี่ยวข้องการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งการให้สัมภาษณ์ที่กระทบกับกองทัพบก และการฝึกนักรบพระเจ้าตาก ซึ่งผบ.ทบ.เห็นว่าภาพของตนติดอยู่กับกองทัพบกและทหาร อาจทำให้ภาพพจน์ของกองทัพเสียหาย ทำให้เข้าใจผิดว่า ผบ.ทบ. รู้เห็นเป็นใจ ซึ่งคณะกรรมการฯทำสำนวนสรุปผลการสอบสวนให้ ผบ.ทบ.พิจารณา เพื่อสั่งการลงมาอีกครั้ง

ขู่ยังดื้อฟันอาญาทหาร-ตัดออกกองทัพ
 
"หาก ผบ.ทบ.สั่งการให้ผมยุติความเคลื่อนไหวก็จะปฏิบัติตาม เพราะหากไม่ปฏิบัติจะเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาทหารอย่างรุนแรง นับเป็นครั้งแรกที่ถูกสอบทางอาญาทหาร เมื่อได้ฟังก็รู้สึกตกใจ เบื้องต้นคณะกรรมการจะสอบสวนทางวินัย และติดตามพฤติกรรมว่ายังเคลื่อนไหวให้กองทัพเสียหายหรือไม่ ถ้ายังทำจะตัดผมออกจากกองทัพไป เพื่อให้เข้าข่ายการสอบสวนอาญาทหารมีความผิดรุนแรง ผมคิดว่า ผบ.ทบ.คงกลัวคนมองว่าปากว่าตาขยิบ และหลิ่วตาให้ผมทำกับพันธมิตร"
 
พล.ต.ขัตติยะกล่าวอีกว่าคณะกรรมการขอให้เพิ่มความระวังการเคลื่อนไหวต่างๆ รวมทั้งการกล่าวให้กระทบภาพลักษณ์กองทัพบก และตัว ผบ.ทบ. เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย โดยจะติดตามพฤติกรรมก่อนสรุปถึง ผบ.ทบ. หากฝ่าฝืนจะพิจารณาให้เข้าข่ายความผิดอาญาทหารได้ ขณะนี้ยังไม่ตั้งข้อกล่าวหาทางอาญา 
 
"ขณะนี้อยู่ในช่วงประกาศหยุดยิงระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน เนื่องในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ แต่หากเกิดเหตุในวันที่ 14-19 พฤศจิกายนนี้ ไม่ใช่ฝีมือของกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ไม่หวังดีต่อชาติ แต่เป็นพวกฝ่ายซ้ายที่ไม่หวังดีกับประเทศชาติ เป็นพวกคอมมิวนิสต์ ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่าหากพันธมิตรไม่ออกจากทำเนียบ หลังวันที่ 19  พฤศจิกายนนี้ ต้องมีระเบิดอีกแน่นอน" พล.ต.ขัตติยะกล่าว

เสธ.แดงปล่อยข่าว"พัลลภ"นั่งรองผอ.รมน.
 
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า หลังจากที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รอง ผอ.รมน. ไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ข่าวว่าจะบรรจุชื่อ พล.อ.พัลลภ ในตำแหน่ง รองผอ.รมน. ตนจึงโทรศัพท์ไปหาพล.อ.พัลลภเพื่อเสนอตัวไปช่วยงานที่ กอ.รมน. จะได้แยกส่วนออกจากกองทัพบก และจะไม่ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ เสียหาย

"ผมจะใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ของ กอ.รมน. จัดการกับกลุ่มพันธมิตรจะทำให้เสร็จภายใน 3 วัน และ 5 แกนนำต้องหายไป โดยใช้กฎหมาย กอ.รมน.ควบคุมตัว เพื่อไปสอบสวนภายใน 6 เดือนที่เกาะตะรุเตา โดยระหว่างนำตัวไปสอบสวนจะใช้เฮลิคอปเตอร์ผูกห้อยจากเครื่องไปที่เกาะเพราะที่นั่งเต็ม หากตนกับ พล.อ.พัลลภ ซึ่งตอนนี้กลับมาเป็นคอหอย ลูกกระเดือก หลังจากวงแตกมาก่อน ดังนั้นพันธมิตรตายแน่ ขอให้ออกไปก่อนวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ อย่าอยู่ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน อย่ามาเสี่ยงกับเสธ.แดง และ พล.อ.พัลลภ เพราะเป็นของแท้ มีคนอยากทอดกฐินเยอะ ผมไม่ได้ขู่แต่แจ้งเตือน" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว

"จตุพร-วีระ-สนธิ ลิ้ม"บินฮ่องกงลำเดียวกัน แต่ไม่ทักทาย
 
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณออกจากประเทศจีน แล้วมาพักผ่อนที่โรงแรมในเกาะฮ่องกง โดยตลอดวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีแกนนำของพรรคพลังประชาชน (พปช.) รวมทั้งอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เดินทางไปพบหลายคน อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายเนวิน ชิดชอบ  อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย พล.ต.อ.สล้าง  บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันกับกลุ่มบุคคลที่เดินทางเข้าพบว่า "จะสู้ต่อไปเพื่อเดินทางกลับมาประเทศไทย"
 
นอกจากนี้รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลา 08.30 น. วันเดียวกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พปช. นายวีระ มุกสิกพงศ์ ผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ได้เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปฮ่องกง โดยสารการบินคาร์เธ่ย์แปซิฟิคเพื่อไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ปรากฎว่าการเดินทางดังกล่าวมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้โดยสารเครื่องบินลำเดียวกัน แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ทักทายโดยต่างทำเป็นมองไม่เห็นกัน

พันธมิตรแถลงงดปราศรัยโจมตีรัฐบาล 
ส่วนที่ชุมนุมแกนนำพันธมิตร บริเวณทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 10.00 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรแถลงที่ห้องผู้สื่อข่าวว่า ในช่วงงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ พันธมิตรจะงดการปราศรัยในประเด็นการเมืองที่มุ่งโจมตีรัฐบาล หรือฝ่ายอื่นๆ แต่จะนำเรื่องการเมืองใหม่ หรือการเมืองสะอาด มาพูดเพื่อให้ความรู้สร้างความเข้าใจให้ผู้ร่วมชุมนุม และผู้ที่รับชมผ่านสถานีเอเอสทีวี สลับกับการถ่ายทอดสดงานพระราชพิธีฯ จากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.)
 
"ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายนเป็นต้นไป พันธมิตรจะรณรงค์รักษาความสะอาดภายในบริเวณที่ชุมนุมทำเนียบรัฐบาล โดยจัดทำเสื้อรณรงค์รักษาความสะอาดแจกผู้ชุมนุมเพื่อสร้างจิตสำนึก ถวายแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ"

เด็กปฐมพงศ์ชี้บึ้ม10พ.ย.คนนอกทำ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายพิภพแถลงข่าวอยู่นั้น นายกฤตโชค หรือ (ศุภโชค) จินดาพล อ้างตัวว่าเป็นที่ปรึกษา พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรสุข อดีตที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย และเป็นเจ้าหน้าที่ประจำกองรักษาความมั่นคงภายในประเทศ (กอ.รมน.) ด้านการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ แจ้งกับนายพิภพว่าได้ประสานกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรจะนำข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาลเมื่อกลางดึกวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมาแถลงข่าวด้วย
 
จากนั้นนายศุภโชค กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องออกมาแถลงเนื่องจากข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการวิเคราะห์กันว่าฝ่ายพันธมิตรฯ เป็นผู้กระทำ แต่จากข้อมูลที่ได้พบว่าไม่ใช่ฝีมือของพันธมิตรฯ แน่นอน เนื่องจากเป็นการยิงมาจากที่อื่น โดยวิถีของระเบิดมีทิศทางมาจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)

อ้างพบรอยคอมแบทใหม่ๆดาดฟ้าก.พ.

"ในวันที่เกิดเหตุระเบิด ผมอยู่บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ หลังจากเสียงระเบิดเกิดขึ้น 10 นาที ผมตัดสินใจเดินไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ติดต่อกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ ป.ป.ช. โดยได้แสดงตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของ กอ.รมน. ขอผ่านเข้าไปยังสำนักงาน ก.พ. เพราะประเมินว่าระเบิดมาจากด้าน ก.พ. หลังจากได้รับอนุญาตได้ขึ้นไปยังชั้น 4 ของตึก ก.พ. ซึ่งเป็นดาดฟ้า และพบรอยรองเท้าคอมแบทซึ่งเป็นรอยใหม่ อีกทั้งยังพบกระป๋องน้ำอัดลม และขี้บุหรี่ด้วย" นายศุภโชค กล่าวและว่ายังได้รับทราบข้อมูล และได้รับภาพถ่ายจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ก.พ.ว่า ในคืนวันที่ 6 พฤศจิกายน ก็มีระเบิดไปตกที่สำนักงาน ก.พ. แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ก.พ.ไม่อยากจะให้เป็นข่าว จึงได้ปิดข่าวเอาไว้  

เชื่อระเบิดชนิดเดียวกับสลายเหตุ7ตุลา
 
นายศุภโชค กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบจุดที่เกิดเหตุระเบิดภายในทำเนียบรัฐบาล ได้พบสะเก็ดระเบิดมีตัวเลขระบุว่า เป็นระเบิดเสียง ชนิด เอ็ม.5 เป็นลูกซ้อมที่เป็นระเบิดเสียง คาดว่าจะเป็นชนิดเดียวกันกับระเบิดที่ใช้ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา และระเบิดชนิดนี้น่าจะเป็นระเบิดชนิดเดียวกันที่ทำให้น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุม ซึ่งได้นำข้อมูลที่พบทั้งหมดไปมอบให้ 3 หน่วยงาน คือ ผู้บัญชาการทหารบก  กองทัพภาคที่ 1 และสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ดุสิต แล้ว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายศุภโชคแถลงข่าว ได้นำภาพถ่ายที่อ้างว่าได้มาจากเจ้าหน้าที่ของ ก.พ.ที่ได้บันทึกภาพเก็บเอาไว้หลังจากเกิดเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน จำนวนหลายสิบภาพมายืนยันกับผู้สื่อข่าว รวมทั้งยังนำสะเก็ดระเบิดที่อ้างว่าเก็บได้จากจุดเกิดเหตุระเบิดที่เต๊นท์ภายในทำเนียบรัฐบาลเมื่อคืนวันที่ 10 พฤศจิกายน มายืนยันว่าสะเก็ดระเบิดจากทั้งสองแห่งเป็นระเบิดชนิดเดียวกัน  

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์