ทำไม ทักษิณ จึงไม่ได้เป็นวีรบุรุษของชาติไทย อย่างที่โอบามา เป็นวีรบุรุษของชาวอเมริกัน ?

โดยปกติแล้ว ไทยทนจะเปรียบเทียบอย่างระมัดระวัง ระหว่างเรื่องทฤษฎีกับเรื่องจริง "โอบามา"ขณะนี้ มีความนิยมสูงมาก แต่อาจเป็นเพราะยังไม่ได้ผ่านเวลาที่เป็นผู้ปฏิบัติแท้จริง แต่อดีตผู้นำไทยซึ่งได้ปฏิบัติจริงแล้ว เห็นธาตุแท้ในหลายเรื่อง
 
แต่ไทยทนเห็นว่า นี่คือสิ่งดีของความแตกต่างระหว่าง “ความดี” กับ “ความบาป” มนุษย์ควรรักกันเสมอ ไม่ควรเกลียดกัน

สิ่งเดียวที่เราควรเกลียด คือ “ความบาป” “ความเลว” “ความชั่ว” ไม่ใช่ตัวบุคคล ขณะนี้ ชาวอเมริกัน และชาวโลก นิยมโอบามาสูงมาก ก็เพราะอย่างน้อย เขาได้เห็นความคิดที่ดี คำพูดที่ดี เชื่อว่า หากเมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริง แล้วเริ่มหลงทาง “ความนิยม” ก็ย่อมเสื่อมลง และชาวโลก ก็ยังสมควรยกย่อง “คนดี” และ “ความดี” และควรตักเตือน “คนบาป” และรังเกียจ “ความบาป” ต่อไป

 
โอบามาผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาหลายสนาม ดีเบต กับ “คนรู้ทัน” อย่างนาง ฮีลารี คลินตัน หลายรอบกว่าจะชนะ และยังต้องดีเบตกับคู่แข่งที่เป็น “คนรู้ทัน” อย่างจอน แมคเคนอีกหลายรอบ จนได้รับชัยชนะอย่างขาวสะอาด เราจึงได้เห็นภาพที่น่าปลื้มใจว่า แมคเคนกล่าวยอมรับว่า “โอบามาชนะอย่างขาวสะอาด และเป็นประธานาธิบดีที่ชาวอเมริกันพึงให้ความร่วมมือกันทุกคน” ไทยยามเห็นความแตกต่างหลายเรื่องที่นำไปสู่ข้อสรุปว่า ทำไมโอบามาจึงเป็นประธานธิบดีของชาวอเมริกันทั้งประเทศ แต่อดีตผู้นำเราไม่ได้เป็นนายกฯ “ของคนไทยทั้งประเทศ” ก็เพราะไม่ได้เลือกทางสว่างแบบเดียวกัน ดังนี้
 
1. โอบามาชนะด้วย “ความจริง” แต่อดีตผู้นำชนะด้วย “การปกปิดความจริง” เราจึงได้เห็นน้ำใจนักกีฬาที่น่ายกย่อง สิ่งสำคัญที่สุดของนักกีฬา คือ “ซื่อสัตย์ สุจริต” และ “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” จะเห็นว่า “คนเล่นโกง” แล้วชนะ ไม่เคยได้รับการยอมรับ และยกย่อง
 
หากเล่นฟุตบอลแล้ว มีการให้สินบนกรรมการ มีการใช้อาวุธในสนาม มีการเพิ่มคนเกินกติกา แล้วชนะ ก็คงยากที่จะบอกว่า “เมื่อชนะแล้วอยากเห็นฝ่ายพ่ายแพ้ยอมรับ” ก็เพราะโกงมา
 
การเลือกตั้งที่ปิดกั้นสื่อ การใช้อำนาจรัฐเอื้อธุรกิจส่วนตัว โกงมหาศาลจนมีเงินมากมาย ซื้อเสียงมากมาย ใช้เงินของรัฐแทนที่จะพัฒนาชาติ พัฒนาคนให้หายจน กลับทำให้จนไว้ แจกเศษเงินง่ายๆ ให้ได้คะแนนเสียง ไม่ยอมตอบคำถามในสภา ไม่ยอมดีเบต เพราะกลัวชาวบ้านที่ติดตามการเมืองเห็นความจริงที่ตนต้องการปกปิด เมื่อชนะอย่างไม่สัตย์ซื่อก็ย่อมไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนมากมายผู้รู้ทัน
 
2. โอบามาชนะด้วย “การสร้างความเป็นเอกภาพ” แต่อดีตผู้นำชนะด้วย “สร้างความแตกแยก” โอบามาปราศรัยในหัวข้อ “เราจะสร้างชุมชนที่มีความไพบูลย์มากขึ้น” มีความตอนหนึ่งว่า “จากปัญหาการค้าทาส สะท้อนความเอาเปรียบ ความบาป ความเห็นแก่ตัว ตวามไม่เป็นธรรมของมนุษย์ จึงมีหลักการที่สะท้อนในจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ในรัฐธรรมนูญที่ต้องการนำมาสู่ความเสมอภาค เสรีภาพ ความยุติธรรม และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
 
แต่อดีตผู้นำเราเลือกที่จะไม่สนใจความยุติธรรม (ดังหัวข้อต่อไป) แม้แพ้คดีถูกศาลพิพากษาจำคุกทั้งสามีและภรรยา แทนที่จะโต้แย้งด้วยหลักฐานและเหตุผล กลับจัดรายการ “ความเท็จวันนี้” ตอบคำถามเฉพาะกับ “คนรู้กัน” ยุยงให้คนไทยส่วนหนึ่งไม่รู้ความจริง อยู่บนความเข้าใจที่เป็นเท็จ ทำให้เกิดความแตกแยก
 
อดีตผู้นำเรารีบบอกว่า ทุกคนที่ยกหลักฐานกล่าวหาท่าน เป็นพวก “เกลียด” ท่านทั้งสิ้น แต่ไทยทนเป็นคนหนึ่ง ที่ติดตามหลักฐานข้อมูล และหวังว่าท่านจะตอบ ก็ไม่เคยเห็นท่านตอบ ก็ยังคงพร้อมที่จะถามเพื่อรอคำตอบต่อไป โดยไม่ได้เกลียด ท่าน “ไม่มีเหตุจะไปเกลียดท่าน” คนไทยเสื้อเหลืองก็เช่นกัน เราเกลียดที่ “การทำบาป” และ “การทำชั่ว”
 
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ การสร้างความคิดว่า “หากจังหวัดไหนเลือกเรา ก็จะได้รับการดูแลก่อน” เป็นการแสดงหลักการเป็นผู้เอาอำนาจสำหรับกลุ่มพวกพ้องอย่างไม่สมควร เราไม่ได้ยินคำนั้น จากคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพราะเขาให้เกียรติสติปัญญาของประชาชนของเขาพอ
 
โอบามาเขาเลือกที่จะเป็นประธานาธิบดีของคนทั้งประเทศ ต้องการเรียกร้องความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยการให้มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม เขาจึงชนะเป็นวีรบุรุษของคนทั้งประเทศ แต่เราหวังชนะแค่เป็นผู้นำของคนกลุ่มเดียวที่มีเสียงมากพอก็ใช้ได้แล้ว ประกาศเลือกปฏิบัติชัดเจน จึงทำให้สังคมแตกแยก และย่อมไม่เป็น นายกรัฐมนตรี “ของคนไทย” ได้อย่างแท้จริง
 
 3. โอบามาชนะด้วย “ความสัตย์ซื่อ” แต่อดีตผู้นำชนะด้วย “เล่ห์อุบาย” โอบามากล่าวสารภาพถึงความผิดในอดีต เช่น การหลงทดลองยาเสพติด และการดื่มสุราในอดีต กล่าวถึงความบาปที่มีอยู่บ้างในชีวิต คือ “ความเห็นแก่ตัว” และตั้งใจในความเชื่อว่า “ชีวิตนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นเหนือชีวิต” (ตามความเชื่อของคริสเตียนอย่างเขาคือ พระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ ชอบธรรม และทรงสร้างมนุษย์ด้วยพระประสงค์ให้บริสุทธิ์ ชอบธรรม) 
 
แต่อดีตผู้นำเรา ตีความกฎหมายแบบศรีธนนชัย รัฐธรรมนูญห้ามถือหุ้นเพื่อจะไม่เกิดขัดกันทางผลประโยชน์กับภาครัฐ ก็ไปซุกที่ลูก คนใกล้ชิด และกองทุนแอมเพิลริช-วินมาร์ค (หลังจากที่จำนนต่อหลักฐานซุกหุ้นในนามคนรถ คนใช้ ยาม) แล้วเพียง 4 เดือนหลังดำรงตำแหน่ง ก็มีการลดเงื่อนไขแบ่งประโยชน์ให้ภาครัฐ และเพิ่มประโยชน์กับกิจการของคนนับแสนล้านบาท ทำให้ต้องได้เปรียบการแข่งขันร่ำไป
 
คตส. ชี้ประเด็นสงสัยว่า ในเมื่ออ้างว่าลูกโอนหุ้นมูลค่า 734 ล้านบาท จากพ่อและแม่ ในวันที่ 1 กันยายน 2546 ทำไมในวันที่ 31 สิงหาคม 2546 นั้น ลูกจึงต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 4,500 ล้านบาทให้แม่เพิ่มด้วย ซึ่งเป็นเหตุให้จ่ายคืนปันผลทั้งหมดกลับไปที่พ่อแม่ในที่สุด ท่านไม่ตอบแต่หลอกให้ชาวบ้านเห็นว่า คตส. จัดตั้งขึ้นจากการปฏิวัติ จึงสรุปว่าถูกกลั่นแกล้ง คนไทยไม่ยอมรับการปฏิวัติแล้ว แต่เขามาช่วย “เว้นวรรค” อำนาจมืดเพียงชั่วคราวก็ไปแล้ว แต่ทำให้ได้หลักฐานปรากฏขึ้น หากเห็นว่าไม่เป็นจริง ก็โต้แย้งด้วยหลักฐาน หากเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็โต้ตอบด้วยเหตุผล แต่ท่านก็ไม่ได้โด้แย้งด้วยหลักฐานและเหตุผลแต่อย่างใด หลอกให้คนต้านปฏิวัติ (ทั้งที่คนไทยไม่ยอมรับผู้ปฏิวัติผู้มาหาอำนาจเพื่อตนเองอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง) ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อปกปิดหลักฐานทุกอย่างที่หามาได้ยามปลอดอำนาจมืดเท่านั้น
ภรรยาของท่านได้ปลอมแปลงการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แทนการโอนหุ้น ใช้เงินภรรยาจ่ายแทนพี่ชาย และเอาเช็คจ่ายคนรับใช้เข้าบัญชีภรรยา เพื่อหนีภาษี
 
ภรรยาประมูลที่ดิน จนรอบแรก ผู้วางมัดจำ 3 รายๆละ 10 ล้านบาท กลับไม่ได้ยื่นประมูล และมีการตัดพื้นที่สาธารณะออก (เป็นสวน หรือถนนก็เพิ่มมูลค่าที่ดิน) ยกเลิกราคากลาง แต่กลับเพิ่มเงินวางมัดจำการประมูล จนผู้เข้าประมูลมีจำกัด และมีการยกเลิกข้อจำกัดความสูงอาคารหลังภรรยาประมูลได้ อันเป็นพิรุธที่ยืนยันความไม่เหมาะสมที่ภรรยานายกฯ จะประมูลซื้อที่จากหน่วยงานของรัฐ ด้วยมีความขัดกันของประโยชน์ ด้วยภรรยาท่านซื้อเพื่อธุรกิจย่อมอยากได้ของถูก แต่ภาครัฐย่อมต้องการได้ราคาสูง เพราะต้นทุนสูงกว่า 2 พันล้านบาท
 
3. โอบามาชนะด้วย “ความเสียสละเพื่อประเทศชาติ” แต่อดีตผู้นำยอม “ลงทุนประเทศชาติเพื่อปกป้องตัวเอง” ในการต่อสู้กับคดีต่อระบบศาลยุติธรรม แต่ท่านไม่มีน้ำใจนักกีฬาที่จะเล่นตามกติกา โดยเลือกที่จะหนีศาล ไม่ให้การ ไปอยู่ต่างประเทศ และ ทนายของท่านมีพฤติกรรมให้สินบนศาลจนต้องติดคุก เมื่อให้สินบนไม่ได้ ก็หนีไปต่างประเทศ เมื่อคดีสรุปผลแล้ว ท่านกลับใส่ร้ายแผ่นดินเกิดของท่านต่อชาวโลกว่า ท่านผิดเพราะคะแนนนิยมสูง ภรรยาท่านผิดเพราะเป็นภรรยาท่าน และท่านบอกชาวบ้านกลุ่มหนึ่งซึ่งท่านยึดเป็นประชาชนของท่านผ่านรายการของ “คนรู้กัน” ว่าเป็นกระบวนการ “ยุติความเป็นธรรม”
 
แต่ท่านไม่ได้บอกพิรุธต่างๆ ตลอดจนความล้มเหลวของทนายความในการจ่ายสินบนต่อชาวโลกและ “ประชาชนของท่าน” ท่านลงทุนให้ชาวโลกดูถูกเมืองไทย และให้คนไทยรู้ไม่เท่ากัน แตกแยกกัน ให้คนไทยมีมาตรฐานคุณธรรมต่ำลง โดยผู้สนับสนุนถูกทำให้เชื่อว่าการโกงว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพียงเพื่อปกป้องตนเอง
 
โอบามา เขาแสดงความรักชาติ เสียสละส่วนตัวเพื่อประเทศชาติ เขาก็ย่อมเป็นวีรบุรุษของชาวอเมริกัน แต่อดีตผู้นำเราแสดงความไม่รักชาติ เสียสละชาติเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จะเป็นวีรบุรุษของคนไทยได้อย่างไร ?

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์