เขมรเสริมทัพใหญ่ขนอาวุธหนักประชิดชายแดนไทย

ชาวบ้านประกาศไม่หนีสงคราม แต่ขอบังเกอร์หลบภัย ขณะที่ทหารเขมรเสริมทัพ ขนอาวุธหนัก ประชิดชายแดนฝั่งช่องสายตะกรู จ.บุรีรัมย์-ช่องจอม จ.สุรินทร์ แฉเขมรจ้าง "เวียดกง" ช่วยรบ ไทยจี้กัมพูชาสอบกับระเบิด "ฮุน เซน" ชี้ความขัดแย้งไทยกับกัมพูชาไม่น่าบานปลาย ย้ำจะไม่มีสงครามอย่างเต็มรูปแบบเกิดขึ้นตรงพื้นที่นี้เป็นอันขาด ด้านมาเลเซียยื่นมีเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย ทหารพราน "บุญฤทธิ์" อาการหนัก พบมีเลือดออกเยื่อหุ้มสมอง

จากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่บริเวณภูมะเขือ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ติดชายแดนเขาพระวิหารเป็นห่วงว่า หากสถานการณ์ความรุนแรงปะทุขึ้นมาอีกอาจนำไปสู่ภาวะสงครามได้ทุกขณะ แต่ชาวบ้านก็ยังยืนยันว่าจะไม่หนีไปไหน เพียงขอให้รัฐบาลทำบังเกอร์สำหรับหลบภัยหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

 นางสอน บุตรดีภัก อายุ 60 ปี ชาวบ้านภูมิซรอล หมู่ 12 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ปะทะกันของทหารไทยกับเขมร ทำให้ชาวบ้านต่างวิตกกังวลว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามอีก หลังจากสงบมาหลายสิบปีแล้ว หากเกิดขึ้นจริงก็คงไม่ย้ายหนีไปไหน แต่เพื่อความอุ่นใจอยากขอให้รัฐบาลทำบังเกอร์ให้ชาวบ้านแทนของเดิมที่ถูกทุบทำลายทิ้งไปแล้ว

 "ถามว่ากลัวไหม ก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา แต่ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ไม่รู้จะย้ายไปอยู่ที่ไหน อีกอย่างเชื่อว่าหากเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง คงไม่เลวร้ายไปกว่าสงครามเขมรแดงเมื่อหลายสิบปีก่อนแน่ เพราะสมัยนั้นอยู่บ้านได้แต่ตอนกลางวัน กลางคืนต้องหอบลูกจูงหลานไปหลบอยู่ตามหลุมหลบภัยในกอกล้วย หรือตามพงไม้รอบหมู่บ้าน เวลาลูกร้องก็ต้องเอามืออุดปากไว้ กลัวทหารเขมรได้ยิน อยู่ในบ้านไม่ได้เลย ทหารเขมรจะเข้ามาปล้น จี้ ทรัพย์สินเงินทองไปหมด จึงไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นอีก" นางสอนกล่าว

พร้อมอพยพชาวบ้านทันที

 นายไมตรี อินทุสุต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ในด้านสถานการณ์ชายแดนก็ให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายทหาร แต่ในส่วนของพื้นที่หมู่บ้านที่อยู่ติดชายแดนนั้น จังหวัดได้สั่งการให้ฝ่ายปกครอง ตำรวจ และท้องถิ่น ดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์รุนแรงก็พร้อมจะอพยพราษฎรออกจากพื้นที่ได้ทันที โดยเฉพาะ 7 หมู่บ้าน ใน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่อยู่ติดชายแดน ห่างจากจุดสู้รบ 10 กว่ากิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุด

 "นอกจากการเตรียมการอพยพชาวบ้านแล้ว สิ่งที่ต้องระวังกว่าการสู้รบ คือ การฉวยโอกาสของมิจฉาชีพที่ก่ออาชญากรรม หรือมีการฉวยโอกาสค้าหรือลำเลียงยาเสพติด จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ระมัดระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ" รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษกล่าว

ตลาดโรงเกลือกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

 เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 17 ตุลาคม ที่บริเวณหน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับ ต.ปอยเปต อ.โอวโจวโรว จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา มีพ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรที่ค้าขายอยู่ในตลาดโรงเกลือแห่กันมาออบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา บริเวณประตูพรมแดนฝั่งปอยเปตกันอย่างเนืองแน่น เพื่อรอเวลาเปิดด่าน เมื่อด่านชายแดนเปิดต่างเร่งรีบวิ่งกรูกันเข้ามาในประเทศไทย เพื่อไปเปิดร้านค้าในตลาดโรงเกลือกันอย่างคึกคัก ทำให้บริเวณหน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศกลับมาเป็นปกติ

 ก่อนหน้านี้ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เจรจากับ พล.ท.บุน เซ็ง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา โดยร่วมกันยืนยันว่า ปัญหาชายแดนด้านนี้ไม่มี และจะไม่มีการปิดด่านพรมแดนใดๆ ทั้งสิ้น จากความสัมพันธ์และการแสดงจุดยืนของทั้งสองประเทศทำให้ประชาชนชาวเขมรเกิดความมั่นใจ จึงกลับมาค้าขายในตลาดโรงเกลืออีกครั้ง

 ส่วนบรรยากาศในตลาดโรงเกลือ หลังจากพ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรกลับมาเปิดร้านขายของกันอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ปิดร้านหนีมา 2 วัน จนทำให้ตลาดโรงเกลือกลายเป็นตลาดร้างก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยยังมาท่องเที่ยวกันน้อย เนื่องจากยังไม่ทราบว่าเขมรกลับมาค้าขายแล้ว

ชาวบ้านเร่งปรับปรุงหลุมหลบภัย

 เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 ตุลาคม ชาวบ้านไทยนิยม ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ นำมีด จอบ เสียม มาช่วยกันปรับปรุงที่หลบภัยประจำหมู่บ้าน ท่ามกลางฝนที่ตกโปรยปรายตลอดทั้งวัน เพื่อเตรียมความพร้อม และรองรับหากมีสถานการณ์สู้รบเกิดขึ้น ที่บริเวณปราสาทตาวาย ซึ่งบ้านไทยนิยมเป็นหมู่บ้านสุดท้ายที่อยู่ใกล้กับ "ปราสาทตาควาย" หรือ "ตาวาย" มากที่สุด โดยห่างเพียง 6 กิโลเมตร

 นายดอก ยั่วยวนดี ผู้ใหญ่บ้านไทยนิยม บอกว่า หมู่บ้านไทยนิยมแห่งนี้ มีทั้งหมด 120 ครัวเรือน ที่ผ่านมาได้ติดตามข่าวสาร และทางอำเภอก็ได้แจ้งมาให้ทราบ ซึ่งไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิด แต่ก็ต้องเตรียมความพร้อมไว้ก่อน จึงได้ช่วยกันปรับปรุงที่หลบภัยประจำหมู่บ้าน ซึ่งมีทั้งหมด 4 แห่ง ที่ทหารมาสร้างไว้ให้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว  ส่วนกำลังใจชาวบ้าน ขณะนี้กำลังใจนั้นดีมาก เนื่องจากเคยผ่านประสบการณ์ในลักษณะนี้มาแล้วและไม่รู้สึกกลัว

 "ชาวบ้านบอกว่า ไม่มีความรู้สึกกลัว เพราะชินแล้ว หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะอพยพเฉพาะผู้หญิงและเด็ก ส่วนผู้ชายจะไม่ยอมทิ้งบ้านไปโดยเด็ดขาด" นายดอกกล่าว

 สำหรับบ้านไทยนิยมแห่งนี้ เป็นหมู่บ้านที่ทางอำเภอพนมดงรัก ได้บรรจุไว้ในแผนอพยพรวมกับหมู่บ้านไทยสันติสุข ที่อยู่ติดกัน หากเกิดเหตุการณ์สู้รบกันที่บริเวณปราสาทตาควายขึ้น เนื่องจากหมู่บ้านไทยนิยมนี้ อยู่ใกล้ปราสาทตาควายเพียง 6 กิโลเมตรเท่านั้น โดยจะมีการอพยพชาวบ้านไปอยู่ในบริเวณพื้นที่ว่าการอำเภอพนมดงรัก ห่างไปประมาณ 24 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้อำเภอเตรียมแผนรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว

ตลาดช่องจอมเงียบร้านค้าปิด

 พ.ต.ท.ฐนพงศ์ หมกทอง สารวัตรด่านตรวจคนเข้าเมืองช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ กล่าวว่า สถานการณ์บริเวณด่านชายแดนช่องจอมขณะนี้ประชาชน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติลดน้อยลงมาก ขายสินค้าไม่ได้ จากเดิมเคยมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยวันละประมาณ 500 คน แต่เมื่อเกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างทหารไทย และทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ก็ส่งผลให้นักท่องเที่ยวลดน้อยลงเฉลี่ยต่อวันไม่ถึง 200 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย

 ส่วนร้านค้าที่อยู่บริเวณตลาดช่องจอมขณะนี้ปิดตัวลงไปมาก เหลือไม่ถึง 20% และร้านค้าส่วนใหญ่ที่ปิดตัวไปจะเป็นร้านค้าที่เป็นนักธุรกิจชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขายในไทย แต่เมื่อสถานการณ์ไม่แน่นอน และเกรงกลัวว่าจะเกิดสงครามจึงทยอยกันปิดร้านตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม เป็นต้นมา โดยให้เหตุผลว่าไม่ไว้ใจในสถานการณ์ และกลัวชาวกัมพูชาด้วยกันปล้นสะดมกันเอง จะมีเหลือเพียงร้านค้าที่เป็นของคนไทยที่ยังคงเปิดขายตามปกติ แต่ก็ค้าขายกันลำบากมากเพราะไม่มีลูกค้า ดังนั้นคงต้องรอดูในวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นตลาดนัดวันเสาร์ที่ปกติจะมีพ่อค้าแม่ค้าทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชานำสินค้าเข้ามาจำหน่ายยังตลาดนัดกันจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวกัมพูชาที่เข้ามาซื้ออาหารทะเล

 ในส่วนของด่านตรวจคนเข้าเมืองทางฝั่งประเทศกัมพูชาหลังจากเกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ก็ได้มีการเจรจากันโดยการเชิญเข้ามาหารือ และทานข้าวร่วมกัน ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาเองก็ไม่ได้มีทีท่าที่จะปิดด่านเช่นเดียวกัน และยังคงไปมาหาสู่กันตามปกติ โดยมีนักพนันชาวไทยเดินทางเข้าไปที่บ่อนบ้าง แต่ไม่มากเหมือนที่ผ่านมา

เลื่อนเปิดจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู

 นายบุญสม ผ่องบุพกิจ ประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับฝ่ายกัมพูชา ที่บริเวณชายแดน จ.ศรีสะเกษ ส่งผลกระทบกับการเสนอขอเปิดจุดผ่อนปรน หรือจุดข้ามแดนถาวร บริเวณช่องสายกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ที่ก่อนหน้านี้ทางคณะกรรมการระดับจังหวัดของทั้งสองฝ่าย ได้มีการหารือและเห็นชอบร่วมกันแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอให้รัฐบาลของทั้งสองฝ่ายพิจารณา แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้น เชื่อว่าจะทำให้การพิจารณาเปิดจุดผ่อนปรนดังกล่าวชะลอไว้ก่อน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงเข้าสู่สภาวะปกติ

 "จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา นอกจากจะกระทบด้านความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีต่อกันแล้ว ยังจะส่งผลกระทบด้านการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเส้นทางอารยะธรรมขอมโบราณอีกด้วย ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเร่งเจรจาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกัน เพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่ปกติโดยเร็ว" นายสมบูรณ์ กล่าว

เขมรระดมทหารพร้อมอาวุธหนัก

 แหล่งข่าวสายทหารรายงานว่า ขณะนี้บริเวณบ้านโอร์เสม็ด อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ซึ่งอยู่ใกล้กับด่านผ่านแดนช่องจอม มีกองกำลังจากกองพัน 422 จำนวน 80-100 คน ติดอาวุธมาตั้งฐานทัพ โดยมี พ.ท.เจีย มอน ผบ.ภูมิภาคที่ 4 นำทัพ และมีกำลังทหารสำรองอีก 4 กองร้อย ประจำการอยู่ที่ช่องจอม นอกจากนี้ ยังมี พ.ท.ตอนเยียน หัวหน้าหน่วยป้องกันชายแดน 402 (นปชด.402) มีกองกำลัง 2 กองร้อย ปักหลักอยู่ที่เขต 13 อยู่ในเขต อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย

 ทั้งนี้ บริเวณระหว่างช่องจุ๊ปโกกี จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา-ช่องสายตะกรู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ มี พ.ต.กวง สุดิน ผบ.พัน.702 เป็นผู้รับผิดชอบโดยนำกำลังทหารกัมพูชา 300 นาย เข้าไปตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่พร้อมกับอาวุธหนักอาร์พีจี ปืนใหญ่ บีเอ็ม 21 เข้าไปเตรียมการตลอดแนวชายแดนจาก จ.สุรินทร์-บุรีรัมย์

 ส่วนบริเวณตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้ ยังคงมีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธหนักตรึงกำลังตลอดพื้นที่เขตชายแดน และมีการเสริมกำลังทหาร และอาวุธหนัก รถถังเข้าประจำตามจุดที่ตั้งเป็นฐานที่มั่นอย่างต่อเนื่อง

 ด้าน ต.โคกมอน อ.มันเตียอำปัญ จ.อุดรมีชัย ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา 2 กิโลเมตร อยู่ฝั่งตรงข้ามกับช่องสายตะกรู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ มี พ.อ.มอก สุริจราณ ผบ.จังหวัดอุดรมีชัย เป็นผู้ควบคุมและกำกับดูแล โดยมีกองกำลังทหาร 200 นาย พร้อมอาวุธปืน ป.130 จำนวน 2 กระบอก อาร์พีจี ปรส.75 ซึ่งเป็นปืนสำหรับยิงเครื่องบินขับไล่ ปืนใหญ่ บีเอ็ม 21 และบีเอ็ม 40 เข้าประชิดแนวชายแดน ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมี พ.ท.เจีย มอน มีอำนาจในการสั่งปฏิบัติการทั้งหมด

แฉเขมรจ้าง "เวียดกง" ช่วยรบ

 แหล่งข่าวสายทหารรายหนึ่งเปิดเผยว่า หลังจากมีเหตุปะทะกัน ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 16 ตุลาคม ทหารไทยที่ตรวจการณ์อยู่บริเวณผามออีแดง ได้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางฝั่งกัมพูชา โดยมีขบวนรถยีเอ็มซีทหาร 25 คัน บรรทุกทหารเต็มคันรถ เชื่อว่าเป็นการลำเลียงกองกำลังทหารเข้ามาพักอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านโกมุย ต.ตะเปรียงปราสาท อ.จอมกะสาน จ.พระวิหาร ซึ่งเป็นหมู่บ้านกัมพูชาที่อยู่ติดกับเขาพระวิหารที่สุด

 ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวสอดคล้องกับข่าวที่ชาวบ้านระบุว่า หลังจากเกิดเหตุปะทะกัน กัมพูชาได้จ้างทหารเวียดนามเข้ามาช่วยและมาอยู่ในหมู่บ้านโกมุยแล้วจำนวนหลายร้อยคน จึงเชื่อว่าเขมรไม่จบง่ายๆ แน่ เพราะทหารพรานที่คุยกับทหารเขมรที่รู้จักคุ้นเคยกัน ระบุว่า ผู้ใหญ่ทางกัมพูชาคงไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ เพราะคนของเขาเจ็บและตายเยอะ ส่วนการเจรจาระหว่าง พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 กับ พล.ท.เจีย มอน ผู้บัญชาการภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชา เป็นการเจรจาแค่ให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น ไม่ได้หวังผลการเจรจาอะไรมากนัก

 ขณะที่แหล่งข่าวด้านความมั่นคง ที่เฝ้าติดตามสถานการณ์บนเขาพระวิหารอย่างใกล้ชิด กล่าวถึงกรณีข่าวที่ว่าเขมรจ้างทหารเวียดนาม มาช่วยรบบนเขาพระวิหารนั้น เรื่องนี้ยังสรุปไม่ได้ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ เพราะต้องเข้าใจว่าที่ผ่านมาเขมร ไม่ได้ทำสงครามกับเราเพียงแค่การทหาร แต่เขาทำสงครามสื่อ กับเรามาโดยตลอด ข้อมูลความเคลื่อนไหวต่างๆ จากการดักฟังวิทยุ เช่นเดียวกับที่เขาก็ดักฟังเรานั้น บางเรื่องก็เหมือนกับว่าเขาจงใจให้เรารู้เรื่อง แต่พอเป็นเรื่องของจำนวนกำลังพล หรือความลับอื่นที่เขาต้องการปิด เขาจะใช้รหัสที่ซับซ้อนมาก แต่บางเรื่องกลับไม่ใช้รหัส เหมือนเขาตั้งใจจะปล่อยข่าวลือให้เราสับสน

 อย่างไรก็ตาม มีข่าวจากชาวบ้านโกมุย ที่รู้จักกันโทรมาบอกว่า มีทหารใส่ชุดสีกากี หมวกเบเรต์แดง ประมาณ 14 นาย เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ซึ่งชุดทหารดังกล่าว ไม่มีอยู่ในสารบบของกองทัพกัมพูชาหน่วยใดเลย

ไทยจี้กัมพูชาสอบกับระเบิด

 นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 14.30 น. นายอนุสนธิ์ ชินวรรโณ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้เชิญนายอุก โสพอน อุปทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อยื่นบันทึกช่วยจำกรณีเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดระหว่างลาดตระเวนบริเวณใกล้ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลไทยเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต โอน และทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และเป็นภัยต่อสันติภาพระหว่างประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศย้ำว่าไทยให้ความสำคัญต่อหลักการสร้างสันติภาพและมนุษยธรรมมาตลอด ซึ่งเป็นนโยบายของไทยและเป็นเหตุผลที่ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ดังกล่าว

 นายธานีกล่าวอีกว่า ในบันทึกช่วยจำดังกล่าว ระบุว่า หลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา ศูนย์ปฏิบัติการระเบิดแห่งชาติ (ทีแม็ก) ร่วมกับกลุ่มเอ็นจีโอต่างๆ ได้เข้าไปในพื้นที่ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทุกอย่างเกิดขึ้นในเขตของไทย โดยพบทุ่นระเบิดรุ่นพีเอ็มเอ็น 2 ซึ่งบ่งบอกว่าระเบิดนี้ถูกฝังใหม่ รัฐบาลไทยจึงอยากร้องขอให้กัมพูชาสอบสวนว่ามีบุคคลใดภายใต้กฎหมายกัมพูชาละเมิดเกี่ยวกับการห้ามใช้ทุ่นระเบิด และอยากให้ทางการกัมพูชาตรวจสอบด้วยว่าทางการกัมพูชายังมีทุ่นระเบิดรุ่นนี้อยู่ในครอบครองหรือไม่ เพราะทางการกัมพูชาออกแถลงการณ์ว่าไม่มีทุ่นระเบิดดังกล่าวอยู่ในความครอบครองแล้ว ทั้งนี้ ไทยมองว่าพัฒนาการดังกล่าวน่าวิตกกังวลว่ารัฐภาคีหนึ่งได้ละเมิดอนุสัญญาฯ อย่างร้ายแรง และไทยรู้สึกผิดหวังที่ยังมีการนำทุ่นระเบิดมาใช้ในปัจจุบัน

 นายธานีกล่าวว่า แม้ภายใต้อนุสัญญาฯ ข้อ 8 ทางการไทยสามารถดำเนินการต่างๆ ตามอนุสัญญาฯ ได้ แต่ตอนนี้อยากร้องขอไปยังกัมพูชาโดยตรงในฐานะประเทศเพื่อนบ้านเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ไทยพร้อมหารือและร่วมมือกับกัมพูชาแก้ปัญหาที่มีอยู่ โดยไทยพร้อมหารือภายใต้กรอบทวิภาคีและกรอบต่างๆ ที่มีอยู่ ด้านอุปทูตกัมพูชารับจะนำไปรายงานต่อรัฐบาลกัมพูชาให้รับทราบ

 อธิบดีกรมเอเชียตะวันออกยังกล่าวถึงการแต่งตั้งประธานคณะกรรมาธิการการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ฝ่ายไทยว่า คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และการประชุมรัฐสภาในสัปดาห์หน้า สิ่งนี้ได้สะท้อนถึงความคืบหน้าในการดำเนินการของฝ่ายไทย

ฮุน เซนเชื่อเหตุขัดแย้งไม่เลวร้าย

 นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มองว่า ความขัดแย้งตามแนวพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่น่าบานปลายกลายเป็นเหตุรุนแรงไปมากกว่านี้ และขอให้เข้าใจด้วยว่า จะไม่มีสงครามเต็มรูปแบบเกิดขึ้นตรงพื้นที่นี้เป็นอันขาด จึงขอให้ประชาชนที่อยู่ตามแนวพรมแดนวางใจได้

 นายฮุน เซนยืนยันว่า ไม่ต้องการคนกลางหรือองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหา เพราะมองว่าสถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น และไทยกับกัมพูชาตกลงจะคงการเจรจาต่อไปตามแนวทางเดิมที่มีอยู่ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นเป็นประเด็นระหว่างประเทศ ซึ่งถ้อยแถลงนี้ค่อนข้างสวนทางกับเมื่อหลายเดือนก่อน ที่นายฮุน เซนต้องการผลักดันข้อพิพาทกับไทยให้ไปอยู่ในเวทีโลกมาโดยตลอด และมีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุดโดโยโนของอินโดนีเซีย ยืนยันว่า อินโดนีเซียพร้อมจะเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา

มาเลเซียยื่นมือไกล่เกลี่ย

 ด้านนายราอิส ยาทิม รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย เปิดเผยว่า มาเลเซียกำลังพิจารณาที่จะเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา โดยในฐานะเพื่อนบ้านของทั้งสองประเทศ มาเลเซียต้องทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ ขณะเดียวกันมีรายงานว่า นายยาทิมได้หารือกับ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ในเรื่องนี้แล้ว ซึ่ง ดร.สุรินทร์เสนอให้อีกหนึ่งหรือสองประเทศเข้าร่วมเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างไทยกับเขมรด้วย

 อย่างไรก็ดี นายฮุน เซนระบุว่า เป็นการเร็วเกินไปที่จะให้บุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องกับข้อขัดแย้งนี้ โดยขอขอบคุณในเจตนาดีที่จะช่วยหาทางออก แต่คิดว่ายังไม่ถึงเวลา เนื่องจากไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันแล้วที่จะพยายามแก้ไขปัญหาผ่านทางกลไกแบบทวิภาคีที่มีอยู่ ล่าสุดผู้บัญชาการกองทัพไทยกับกัมพูชาตกลงกันแล้วว่า จะให้กองกำลังของทั้งสองฝ่ายลาดตระเวนบริเวณพื้นที่ดังกล่าวร่วมกัน เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอีก ขณะที่ พล.ต.สเรย เดื๊อก ผู้บัญชาการทหารที่เขาพระวิหาร ยืนยันว่าจะหารือเรื่องที่ทำให้เกิดเหตุรุนแรงเมื่อเร็วๆ นี้ด้วย

 อย่างไรก็ดี แม้เหตุการณ์จะไม่รุนแรง แต่นายฮุน เซนกล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า มีแผนจะปรับปรุงศักยภาพการป้องกันประเทศ และขอเพิ่มงบประมาณด้านการทหารเป็นครั้งแรกนับจากการล่มสลายของเขมรแดงในปี 2541 โดยจะให้คณะรัฐมนตรีหารือกัน เพื่อร่างออกมาเป็นข้อกฎหมาย แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียด พร้อมกันนี้ยังขอให้ที่ประชุมร่วมยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อไว้อาลัยแก่ทหารกัมพูชา 3 นาย ที่เสียชีวิตในเหตุปะทะ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาด้วย

 ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กองทัพชาวตะวันตก ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ มองว่า ไทยมีกองกำลังติดอาวุธที่แข็งแกร่งถึง 3 แสนนาย และยังมีกองกำลังทางอากาศที่ติดตั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน จึงมีความพร้อมในการรบมากกว่ากัมพูชา ซึ่งมีกำลังทหารน้อยกว่า มีอาวุธไม่ทันสมัย และมีการจัดระเบียบกำลังพลที่ไม่ดีนัก นอกจากนี้ยังมีรายงานเรื่องที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพไทยทั้ง 4 เหล่ากล่าวเป็นนัยว่านายกรัฐมนตรีควรลาออกด้วย

บัวแก้วผลักดันถกทวิภาคี

 นายธฤต จรุงวัฒน์  อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มาเลเซียเสนอตัวเข้าช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งไทย-กัมพูชาว่า เราเข้าใจในความปรารถนาดีของมิตรประเทศของไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในครอบครัวอาเซียนด้วยกัน เรื่องนี้เป็นแนวทางหนึ่งซึ่งเราไม่ได้ปฏิเสธ และอาจจะเป็นประโยชน์ แต่เราคิดว่าในชั้นนี้โดยที่แนวทางทวิภาคียังเปิดอยู่ และฝ่ายไทยมีความตั้งใจและจริงใจที่จะขับเคลื่อนให้มีผลเป็นรูปธรรม อีกทั้งไม่ว่าจะมีประเทศที่สามหรือกลุ่มประเทศที่เข้าดูในเรื่องนี้ ในท้ายที่สุดก็จะต้องเป็นไทยและกัมพูชาที่เป็นผู้ตัดสินใจอยู่ดี

 ดังนั้นตนเห็นว่าควรจะผลักดันการหารือในระดับทวิภาคีให้ขับเคลื่อนไปได้ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในภาวะนี้คือความอดทน เปิดใจกว้าง และความจริงใจต่อกัน รวมทั้งต้องอย่าให้เกิดเหตุใด ๆ ขึ้นบริเวณชายแดน

ทหารพราน "บุญฤทธิ์" ยังโคม่า

 อาการบาดเจ็บของทหารไทยจากเหตุปะทะบริเวณพื้นที่พิพาท ที่บริเวณภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งขณะนี้อาสาสมัครทหารพรานบุญฤทธิ์ ขันตรี สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 959 ซึ่งถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณศีรษะจนสมองกระทบเทือนอย่างรุนแรง และมีเลือดคั่งในสมอง หลังการผ่าตัดก็ยังคงมีเลือดออกบริเวณเยื่อหุ้มสมอง ขณะนี้พักรักษาตัวที่ห้องผู้ป่วยศัลยกรรมอุบัติเหตุ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ซึ่งแพทย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

 นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ กล่าวว่า อาการค่อนข้างหนักและน่าเป็นห่วง หลังจากผ่าตัดแพทย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากคนไข้ยังไม่รู้สึกตัว ต้องเฝ้าระวังเช็กระบบหายใจ การไหลเวียนของเลือดและเช็กความดันโลหิต วันนี้ (17 ต.ค.) วัดความดันเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ยังไม่รู้สึกตัว 

 ด้านนางปริมากร ขันตรี ภรรยาของอาสาสมัครทหารพรานบุญฤทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสามีไม่เคยเล่าเหตุการณ์ที่อยู่ที่นั่นให้ฟัง เพราะเป็นเรื่องงาน ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สามีโทรมาหาแต่ไม่อยู่บ้าน ไปทำบุญที่วัด จึงได้พูดคุยกับลูกสาวเพียงคำสองคำแล้วก็วางสาย กระทั่งรู้ข่าวสามีได้รับบาดเจ็บในช่วงเย็นของวันเกิดเหตุปะทะ โดยมีผู้บังคับบัญชาโทรศัพท์แจ้งว่า สามีได้รับบาดเจ็บรักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายที่วารินชำราบ และถูกส่งตัวต่อมาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เพื่อผ่าตัดสมอง หลังจากรับฟังก็รู้สึกตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าสามีจะได้รับบาดเจ็บ 

 "ขณะนี้ต้องการให้สามีหายจากอาการบาดเจ็บ และได้ไปซื้อพวงมาลัยเพื่อมาบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระภูมิเจ้าที่ในโรงพยาบาล เพื่อช่วยดลบันดาลให้สามีฟื้นและหายเป็นปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง" นางปริมากรกล่าว


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์